แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ amazon แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ amazon แสดงบทความทั้งหมด

ซื้อของใน Ebay กับ Amazon ต่างกันอย่างไร ซื้อของใน Ebay กับ Amazon ต่างกันอย่างไร


 หลายคนอาจเคยได้ยินแต่คนอื่นพูดกัน 

และอาจจะสงสัยว่ามันคืออะไร




Ebay.com คือเว็บไซต์ประมูลสินค้าออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ปัจจุบันมีขายแบบไม่ต้องประมูลด้วย มีคนมากว่า 180 ล้านคนทั่วโลกเข้ามาประมูลซื้อขายสิ้นค้ากันภายในเว็บแห่งนี้ มีสินค้าไทยมากกว่าล้านชิ้นที่ขายอยู่บนเว็บไซต์ การให้บริการของ Ebay จะมีในรูปแบบการประมูลออนไลน์และการขายสินค้าแบบปกติ ด้านผู้ขายสินค้าและซื้อสินค้าจะต้องเป็นสมาชิกกับ Ebay เท่านั้นค่ะ สินค้าที่จะขายภายในเว็บนั้นจะต้องไม่เป็นสินค้าต้องห้าม อาทิเช่น สินค้าปลอม สินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ สินค้าประเภทอาวุธหรือยาเสพติด เป็นต้น นอกจากนี้แล้ว Ebay ยังมีระบบจัดผู้ค้าดีเด่น โดยการให้ดาวและให้เหรียญเกียรติยศกับร้านค้าผ่านการโหวตของผู้ซื้อค่ะ ทำให้ร้านค้าใน Ebay มีความน่าเชื่อถือมากขึ้น ส่วนการที่จะได้ดาวมาประดับหน้าร้านได้นั้น จะวัดจากปัจจัยต่างๆ เช่น สินค้าลงรายละเอียดตรงตามที่ให้เอาไว้ไหม , เวลาส่งสินค้าไปแล้วตรงตามที่ให้ไว้บนรูปที่โชว์บนเว็บหรือไม่ , การติดต่อสื่อสารที่ดีกับลูกค้าก็เป็นส่วนสำคัญ มีการตอบคำถาม ข้อสงสัย กับลูกค้าเราได้รวดเร็วถูกต้อง ก็เพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับร้านค้าได้มากขึ้น หรือการส่งสินค้าที่รวดเร็วตามกำหนดและค่าส่งสินค้าที่ไม่คิดแพงจนเกินไป บางร้านอาจจะมีบริการส่งฟรี ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ช่วยเพิ่มลูกค้าให้เราได้

สร้าง blogger อย่างไรให้ขายของ amazon ได้


สร้าง blogger อย่างไรให้ขายของ amazon ได้

บทความนี้เขียนไว้ที่ thaiseoboard มาก่อนครับ แต่เห็นกระทู้ตกไว เลยเอามาไว้ที่นี่ดีกว่าเห็นช่วงนี้มีถามกันเรื่อง blogger ว่าทำยังไงให้ขายของได้ ก็เลยมาเสนอแนวทางแบบมั่วๆ ของผมที่ผ่านมา ที่เคยทำแล้วมันขายได้มาฝากครับ


1. ถ้าใครยังไม่เคยขายของ amazon ได้ก็ให้นึกก่อนว่าจะขายอะไร มองดูของใกล้ตัวก่อนก็ได้ครับ แล้วไปที่เว็บนี้
http://www.google.com/insights/search/?hl=en-US#

(ส่วนใครที่พอขายได้บ้างแล้ว ก็เอาของที่ขายได้นั้นแหละครับ มาค้นต่อ จะได้แตกคีย์ได้อีก)

ตรงเมนูขวามือ เลือก Filter ดังนี้
+ Product search
+ United State
+ Last 12 month

ใส่คำสินค้าที่สนใจ จะคำกลางๆ หรือ niche ก็ได้ครับ ที่ช่องซ้ายมือ แล้วกด search


จากนั้น ให้ดู trend ของกราฟครับ ถ้ามันเป็นแนวตรง หรือได้เป็น trend เพิ่มขึ้นยิ่งดีครับ

จากนั้น ลงไปดูด้านล่างของจอ ที่ผมวงแดงๆ ไว้ อันนั้นและครับ ถ้าอันไหนว่าง ก็จัดไปเป็นชื่อ และ url ของ blog เราเลยครับ
กรณีเป็นชื่อยี่ห้อ ลองเอาไปค้นดูใน google ดูว่า มีเว็บอื่นที่ไม่ใช่เจ้าของจดชื่อยี่ห้อในโดเมนมั้ย ถ้ามี และเราใจกล้าหน่อยก็จัดเป็นโดเมนเราของ blogger เลยครับ

2. มาถึงตอนสร้าง blogger แนะนำว่า 1 acc เอาพอประมาณ ทยอยสร้างวันละ 1-2 blog ครับ อย่าไปสร้างตูมเดียวเยอะๆ โอกาสโดนเก็บมีสูง theme ถ้าหา theme สวยๆ ได้ก็เอามาใช้ครับ แต่ถ้าไม่มี ก็เอา theme ที่มันมีอยู่แล้วนี่แหละครับ ถ้า kw โดนจริง ก็ขายได้ครับ ใครจะใส่ plugin ขาย amazon ของ blogger ก็ได้ครับ แต่ส่วนตัวผมไม่ใส่ หุๆๆ

3. post มือหรือใช้เครื่องมืออะไรก็แล้วแต่ เอาวันละ 1-2 เรื่องก็พอครับ อย่าใจร้อน จากนั้นเอา url โดเมนเราไป post ที่บอร์ดหรือเว็บไหนที่ bot เยอะๆ ทำเป็นสะพาน bot ให้เว็บเรา index ครับ ถ้า bot เยอะ อีกวันนึงก็จะ index จากนั้น เราก็ค่อยหาลิงค์ใส่วันละนิดละหน่อย ให้มันโตครับ อย่าใส่ตูมเดียว ช่วงนี้พี่ goo เค้าเข้มจัดครับ

ทำซ้ำไปเรื่อยๆ ลองทำไปซัก 20 blog up ผมว่าก็น่าจะขายได้แล้วครับ ลองดูนะครับ ผมเองตอนนี้มีประมาณ 50 blog แต่ที่ขายได้ยังแค่ 4-5 blog ครับ แต่ก็ไม่ได้ถอดใจ ก็สร้างไปเรื่อยๆ คิดไว้ว่า อันที่ยังขายไม่ได้ มันยังโตไม่พอ และยังไม่ถึงเวลาของมันครับ
เท่าที่สร้างมาแบบไม่ใจร้อน ก็ยังอยู่ครบดีหมดทุก blog ทุก acc แถมบาง blog ขายของแพงได้บ่อยกว่าเว็บ .com ด้วยซ้ำ หุๆๆ

หวังว่า ประสบการณ์ที่บอกเล่ามานี่น่าจะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆ ให้มีกำลังใจมากขึ้นนะครับ
ช่วงนี้ผมก็แวะมาดูเรื่อยๆ ครับ แต่อาจจะไม่ค่อย ment ไม่ต้อง pm มาถามเพิ่มนะครับ มีอะไร ถามในกระทู้นี้ อันไหนตอบได้ก็จะตอบครับ และที่ ment ในกระทู้นี้ ก็เพราะเผื่อมีท่านอื่นช่วยตอบได้ก่อนครับ และมีเทพอีกหลายท่านอาจแวะมาแจมด้วย จะได้ประโยชน์กันหลายๆ ท่านเลย

เพิ่มเติม

คำถามที่ 1 : 1 acc กี่ blog และ 1 acc สร้างได้กี่ blog และเท่าไหร่ถึงจะปลอดภัย
ผมตอบตรงๆ ว่าไม่รู้ครับ
แต่ผมเอง 1 acc ไม่เกิน 10 blog ผมมีประมาณ 12 account ณ เวลานี้ ดังนั้น ครบ 120 เมื่อไหร่ ผมก็หยุดสร้างครับ หรือไม่ก็สมัคร acc ใหม่ บางคนบอกได้เป็น 100 อันนี้ใครใจกล้าก็ลองได้เลยครับ แต่พอดีผมขี้เกียจสร้างใหม่ เอาแบบว่าพอมีพอกินน่ะครับ เพราะเวลาโดนแบนทีมันเหนื่อยตอนจะสร้างใหม่ หุๆๆ

คำถามที่ 2 : content ประมาณไหน ลิงค์ไป amazon กี่จุด
ผมลืมบอกไปว่า post content ผมใช้ สคริปต์ที่ขายในบอร์ดนี้นะครับ (ลองค้นดูครับ post amazon ใส่ blogger มีไม่กี่เจ้า) อีกอันนึงคือ bmg ครับ แต่ที่ขายได้ตอนนี้เป็นสคริปต์ตัวที่บอก bmg พึ่งรู้ว่าทำได้ ก็เลยพึ่งยิงใส่ (555++ แบบว่าฟังก์ชันมันเยอะเลยทยอยศึกษาน่ะครับ) แต่อย่างที่เทพหลายๆ ท่านบอก อยากได้อันดับดีๆ ต้องเขียนเองครับ แต่ผมขี้เกียจ เน้น kw เข้าว่า
ส่วนลิง์ไป amazon กี่จุด ประมาณ 3 ลิงค์ต่อ 1 บทความครับ

1. รูปภาพ
2. detail (อันที่ประมาณเขียนเป็นหัวข้อว่า product details)
3. Buy now

ลองตามนี้ดูนะครับ

http://www.thaicreateblog.com/2011/05/blogger-amazon.html

หลักการทำ SEO และ Backlinks

กฏใหม่ของ Amazon

กฎใหม่ทั้งหมด ที่เปลี่ยนแปลง ณ วันที่ 1/7/2555 


(ผมตัดกฎ ที่เปลี่ยนแปลง แต่ไม่ได้มีการบังคับอะไรเพิ่ม ออกนะครับ)

การใช้เครื่องหมาย
- แทน แต่ละข้อ
. แทน Comment ของผมเองที่เสริมให้อ่านง่าย
+ แทน ตัวอย่าง

ทำอันดับ SEO แค่ on page ดีมีชัยกว่าครึ่ง


ที่แนะนำ
ไม้ได้ให้เอาไปปั่น Amazon นะครับเด๋วเว็บเค้าจะไม่ได้ให้คนไทยใช้
 แค่จะบอกว่าถ้าอยากทดสอบว่า keyword ไหนง่ายก้อทำ content เน้น onpage ดู แล้วตรวจสอบว่าขึ้นหน้า 1 เร็วอะป่าว อ้าว เอาไปเล่นกัน ทดสอบ SEO กันเลย


zeen.com
bagtheweb.com
list.ly
clipzine.me
scoop.it
storify.com

ทดลองนำไปใช้ดูครับแล้วอย่าลืมได้ผลก็กลับมาบอกเพื่อนๆชาว blogseothai ด้วยนะครับ





ที่มา สมาชิก TSB EequalsMCsquare

Blogger มือใหม่กับ amazon ยังได้อยู่

มาแชร์แนวทางครับ สำหรับมือใหม่
เอาแบบสั้นๆ ง่ายๆ นะครับ ก่อนอื่นให้ดูสถิติของ blog ผมก่อนเลย (blog อายุ 1 เดือนนะครับ)
จะเห็นว่า traffic มาจากการ search ด้วยภาพทั้งนั้น




*ขอไม่โชว์ยอดอันน้อยนิดนะครับ 

วิธีการ
* 1 blog 1 สินค้า *
1. เลือกสินค้าที่คิดว่าจะมีคน search ด้วยภาพ (ไม่แนะนำคีย์โหดนะ หุหุ)
2. ก็อปภาพจากสินค้าจาก amazon มาแล้วเปลี่ยนชื่อไฟล์ให้เป็นชื่อสินค้าทั้งหมด เช่น สินค้าชื่อ ABC มีทั้งหมด 5 ภาพ ก็เปลี่ยนชื่อภาพเป็น ABC1, ABC2 ถึง ABC5 เป็นต้น
3. อัพรูปทั้งหมดลง blog ตั้งชื่อ blog ให้ตรงคีย์ ทำ landing page ก็อปข้อมูลจาก amazon มาใส่ (ราคาไม่ต้องนะ) หารีวิวมาใส่ประมาณ 500 คำ (เอาจากใน amazon ก็ได้)
4. ใส่ปุ่ม buy now หรืออะไรก็แล้วแต่ แล้วใส่ลิ้งค์สินค้าลงไป (แม้แต่ปุ่มผมก็ยังเปลี่ยนชื่อเป็นชื่อสินค้าก่อนอัพด้วย)
5. แค่นั้นแหละ ที่เหลือปล่อยให้พี่ blogger โชว์ความแรงเอง

อยากแรงกว่านี้ขอแนะนำ facebook คุณลองหาด้วยภาพแล้วจะพบว่าภาพจาก facebook ที่มีชื่อตรงคีย์นั้น อยู่อันดับต้นๆ หลายคีย์เลย (สร้างเฟสตามคีย์เลย แล้วใส่ลิ้งค์ของ blog ไว้ด้วย)


http://www.thaiseoboard.com/index.php/topic,285127.msg3907615/topicseen.html#new

อเมซอน มือใหม่


มาอีกแล้วครับ สำหรับวันนี้กับมือใหม่ อเมซอน เห็นหลายต่อหลายคน ที่จะก้าวมาเป็นเซลขายอเมซอน แต่ว่ายังไม่รู้จะเริ่มอย่างไร วันนี้ผมจะมาพูดถึงเรื่องของ หลักการทำงานทั้งหมดคร่าวๆ ที่จำเป็นจะต้องรู้ และทำความเข้าใจ เกี่ยวกับการเดินสายขาย อเมซอน อาจจะเป็น คู่มือAmazon ก่อนการเริ่มตัดสินใจ ขายอเมซอน ก่อนอื่นขอแนะนำก่อนว่า Amazon เป็นเว็บไซต์ ที่ขายสินค้าออนไลน์ และมีการแบ่งค่าคอมมิชชั่น ให้กับคนที่นำของในอเมซอนไปขาย ผ่านชื่อไอดีตัวเอง ทำให้มีหลายคน ทำการแนะนำสินค้า Amazon เพื่อหารรายได้จากค่าคอมมิชชั่นตรงนี้ เรามาเริ่มพูดเลยดีกว่าครับ ว่าอย่างแรกที่เราจะต้องทำ และกระบวนการขายทั้งหมด โดนสรุปคร่าวๆกัน1. ถ้าจะขายอเมซอนนั้นจะต้องคิดก่อนครับว่าจะขายอะไร ทำอเมซอนเป็น road map แจกแจงให้เห็นชัด ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เราต้องคิดหน่อยนะครับ เพราะต้องให้สอดคล้องกับช่องทางที่จะขายด้วย คู่แข่งในสินค้าที่เราจะขายมีมากแค่ไหน

2. เลือกการออกแบบเวปไซต์ ว่าจะขายอเมซอนนั้นจะออกแบบเว็บอย่างไร ใช้สคิปอะไรดี จะใช้บลอกฟรี หรือ จดโดเมนเอา ถ้าจะทำเป็นงานเลยก็ต้องจดโดเมนเอาครับ โฮสติ้งก็ควรจะตั้งอยู่ในที่ๆเราจะขาย โดเมนก็ควรเป็นชื่อที่สอดคล้องกับสินค้าที่จะขาย
3. ช่องทางการขาย อันนี้ก็สำคัยครับ ว่าจะเลือกช่องทางให้ลูกค้าเข้ามาเลือกซื้อจากไหน เช่น adword SEO Social network หรือช่องทางไหนที่จะทำให้ลูกค้าเข้าเว็บเราให้มากที่สุด
4. สรุปงานหลังทำเสร็จทุกครั้ง และต้องพัฒนาอยู่ตลอดเวลา รวมถึงการเพิ่มจำนวนเว็บไซต์ เพื่อให้รายได้สูงขึ้น เพราะถ้าทำแค่เว้บเดียวยังไง ก้ไม่ประสบความสำเร็จครับ และควรคำนึงถึงการทำงานด้วย ว่าเราเองทำงานเป็นระบบใหม
ทั้งหมดคร่าวๆ ก็มีเท่านี้ครับ ถ้าใครที่จะเลือกเดินสายนี้ ต้องได้ทำใน 4 หัวข้อนี่แน่นอน ใครคิดจะเดินทางเส้นนี้ คิดให้ดีครับ ว่ายากก็ยาก ว่าง่ายก็ง่าย แต่ถ้าเราเองจะศึกษาควรหาหนังสือมาอ่านเพิ่มเติม หรือไม่ก็ลงทุนเข้ารับการเรียน คอร์สอเมซอนครับ แอบโปรโมทหน่อยละกัน

Black Friday Amazon


 Amazon Black Friday

          
         ใกล้เทศกาลการ Shopping เข้ามาทุกทีนั่นคือ Black Friday และ Cyber Monday ที่ใครๆ หลายคนตั้งตารอเพื่อเตรียมตัวโกยเงินกันอย่างสนุกสนาน ผมเองก็ไม่พลาดอยู่แล้ว ซึ่งปีนี้ผมเองได้เตรียมตัวไว้เป็นอย่างดี หลังจากปีที่แล้ว “พลาด” อย่างแรงในการวางแผน ซึ่งทุกแผนผมทำงานไม่เสร็จ และไม่ได้ตามเป้าที่ตั้งไว้ แต่ยังดีที่ยังพอทำเงินกับมันได้บ้าง เรียกได้ว่าไม่น่าเกียจ แต่ไม่หรูหรา ส่วนหนึ่งของความผิดพลาดเมื่อปีที่แล้วคือ “ทำหลายอย่างเกินไป” หลายวิธีเกินไป จน “ทำไม่เต็มที่ซักทาง” สุดท้ายก็ต้องยอมจำนนเพราะว่า ต้องหันไปใช้วิธีอัดแหลก จนต้องโดนหมายหัวจนได้ รู้ทั้งรู้ว่ามันจะโดน แต่ด้วยความที่ “โลภมาก” ไปหน่อย ใช้หลากหลายวิธี จนมันตีกัน ทำให้งานไม่เสร็จ ขาดๆ เกินๆ ทุกชิ้น ปีนี้เลยจะแก้ตัวใหม่ ด้วยการวางแผนไว้อย่างดีไม่ออกนอกลู่นอกทาง ไม่จับปลาหลายมือ
จากสถิติตัวเองที่เข้าร่วมวงแบบเต็มตัวมาสองครั้ง จับทางได้เลยว่าไม่ว่า Search Engine ตัวไหนในช่วงนั้น เขาจะเล่นเกมส์กับคุณอย่างแน่นอน ทั้งกวดล้าง ปรับ Algorithm ฯลฯ สารพัดแหละครับที่คุณรจะโดนเล่นงานช่วงนั้น และสถิติที่น่าสนใจ (ส่วนตัว) คือ Cyber Monday ขายดีกว่า Black Friday เสียอีก ด้วยจำนวน Order ที่เท่าๆ กัน แต่จำนวนวันนั้น Cyber Monday แค่วันเดียวพอๆ กับ Black Friday ทั้ง 3 วัน มาดูสถิติจากเว็บไซต์นึงที่ผมทำเมื่อปีที่แล้ว ทั้ง Black Friday และ Cyber Monday
Amazon Black Friday ข้อมูลน่าสนใจของ Black Friday และ Cyber Monday
นี่คือสถิติจากเว็บไซต์อันหนึ่งของผมเป็นจำนวน Clicks, Unique Visitor จำนวน Order ทั้งหมด 3 วันคือวันศุกร์ เสาร์ และก็อาทิตย์ ซึ่งเป็นช่วงเทศกาล Black Friday
Amazon Cyber Monday ข้อมูลน่าสนใจของ Black Friday และ Cyber Monday
และนี่เป็นอีกเว็บนึงที่เป็นโดเมนเกี่ยวกับ Cyber Monday Order จากวันเดียวคือวันจันทร์ที่ 28 เว็บนี้ผมได้ 100 Order!
เรามาแยกเรื่อง Black Friday และ Cyber Monday กันก่อนครับ เริ่มด้วยเทศกาล Black Friday ซึ่งเป็นเทศกาลที่ ห้าง ร้านค้า ร้านรวง ต่างๆ พากันลดกระหน่ำ กันมากกว่า 50% สินค้าทุกชนิดลดราคากันเป็นว่าเล่น ในร้าน “ค้าปลีก” ต่างๆ ถ้าบ้านเราก็จะเป็นพวก เซนทรัล, บิ๊กซี, โลตัส นี่แหละครับ คือพวกร้านค้าจริงๆ ที่เราจะเดินเข้าไปซื้อได้ ซึ่ง Black Friday ร้านเหล่านี้จะเต็มไปด้วยเหล่านักช็อปที่มาตั้งเต้นท์รอกันแต่เช้าเพื่อแย่งกันซื้อของ ซึ่งจริงๆ แล้วมันเป็นช่วงลดกระหน่ำของร้านค้าปลีก Offline ต่างๆ แต่ปัจจุบัน ร้านค้าปลีก Online ก็ลงมาเล่นกับเขา ด้วยแต่ที่ยังน่าสงสัยคือ ในความรู้สึกของคนมะกันจริงๆ เขายังหลงไหลในการช้อปปิ้งแบบร้านค้า Offline อยู่หรือเปล่า เพราะที่มันเป็นวันศุกร์ เสาร์ ทิตย์ เพื่อว่าคนทำงานจะได้มีเวลาช่วงสุดสัปดาห์ ได้ช้อปปิ้งกับครอบครัว คนรัก เพื่อนๆ ได้อย่างสะดวก
gap oldnavy cyber monday 300x189 ข้อมูลน่าสนใจของ Black Friday และ Cyber Mondayส่วน Cyber Monday จะเป็นช่วงวันจันทร์ต่อจากวัน Black Friday ซี่ง Cyber Monday คือการที่ร้านค้า E-Commerce ต่างๆ เช่น Amazon, Best Buy, Tiger Direct ฯลฯ ร่วมใจกันลดกระหน่ำอีกเช่นกัน เพื่อเอาใจคนรักการช้อปปิ้งแบบออนไลน์ ได้จับจ่ายซื้อหาของที่ตัวเองอยากได้ และรวมทั้งคนที่พลาด, คนที่ขี้เกียจไปเบียดแย่งการหาซื้อสินค้าจากร้าน Offline สามารถหาซื้อได้จากร้านค้า Online ที่ทั้งส่งฟรี, ซื้อง่าย ไม่ต้องออกไปยืนรอต่อแถวให้เมื่อยตัว
ซึ่งดูแล้วการ Cyber Monday ดูเหมือนจะเหมาะกับพวกเราเหล่า Affiliate Marketer มากกว่า Black Friday เสียอีก ซึ่งช่องว่างของคีย์ Cyber Monday สองปีที่ผ่านมา ยังมีคนทำน้อย ถึงน้อยมาก เพราะทุกคนแย่งกันไปทำคีย์ Black Friday กันเสียหมด และสถิติทั้งสองปีที่ผ่านมา มันฟ้องว่า Cyber Monday สำหรับผมขายดีกว่า Black Friday ทั้งสามวันเสียอีก นั่นอาจเป็นเพราะ จริงๆ แล้วถึงแม้ร้านค้าออนไลน์ต่างๆ จะจัดเทศกาล Black Friday เหมือนกันแต่ผู้บริโภค ก็ยังติดกับการช้อปปิ้งแบบแย่งกันซื้อ ยืนต่อแถวกันยาวๆ และอาจมีความเป็นไปได้ที่ผู้คนเหล่านั้นยังไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วร้านค้าออนไลน์ก็ลดกระหน่ำเหมือนกัน ในฐานะเราเป็น Affiliate Marketer เรารู้เพราะมันเป็นงานที่เราต้องทำ แต่อย่าเหมารวมว่าเหล่าผู้บริโภคเหล่านั้นจะต้องรู้เหมือนเรา เค้าอาจไม่รู้ก็เป็นได้ แต่ที่เค้ารู้แน่ๆ คือ Cyber Monday คือการช้อปปิ้งออนไลน์ ร้านค้าอย่าง Amazon, Best Buy, Tiger Direct ฯลฯ จะต้องลดราคา
บางทีเราอาจโฟกัสผิดจุด (คห. ส่วนตัวนะครับ) ซึ่งบางท่านอาจขายได้ดีในช่วง Black Friday ก็ได้ แต่ส่วนตัวผม จากรูปข้างบนก็แสดงให้เห็นแล้วว่า Cyber Monday วันเดียวขายได้พอๆ กับ Black Friday 3 วันเลยทีเดียว ผมมีข้อมูลในปีที่แล้วมาให้ดูเล็กน้อย จาก ComScore ดังนี้
ComScore ได้รายงานว่าในช่วง Holiday Shopping Season ในร้านค้าปลีกออนไลน์ (E-Commerce) ต่างๆ ในปี 2011 มีการใช้่จ่ายในการซื้อของออนไลน์เพิ่มขึ้น 15% จากปี 2010 และ Cyber Monday วันเดียวมียอดการใช้จ่ายสูงที่สุดถึง $1,251 ล้านเหรียญ ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปี 2010 ถึง 22% ซึ่งผลสำรวจจาก ComScore การช้อปปิ้งออนไลน์ของเทศกาลต่างๆ ในปี 2010 และปี 2011
  • November 1 – December 2 : ปี 2010 ยอดการใช้จ่ายอยู่ที่ $16,257 ล้านเหรียญ และในปี 2011 ยอดการใช้จ่ายอยู่ที่ $18,697 ล้านเหรียญ เพิ่มขึ้น 15%
  • Thanksgiving Day (Nov. 24) : ปี 2010 ยอดการใช้จ่ายอยู่ที่ $407 ล้านเหรียญ และในปี 2011 ยอดการใช้จ่ายอยู่ที่ $479 ล้านเหรียญ เพิ่มขึ้น 18%
  • Black Friday (Nov. 25) : ปี 2010 ยอดการใช้จ่ายอยู่ที่ $648 ล้านเหรียญ และในปี 2011 ยอดการใช้จ่ายอยู่ที่ $816 ล้านเหรียญ เพิ่มขึ้น 26%
  • Thanksgiving Weekend (Nov. 26-27) : ปี 2010 ยอดการใช้จ่ายอยู่ที่ $886 ล้านเหรียญ และในปี 2011 ยอดการใช้จ่ายอยู่ที่ $1,031 ล้านเหรียญ เพิ่มขึ้น 16%
  • Cyber Monday (Nov. 28) : ปี 2010 ยอดการใช้จ่ายอยู่ที่ $1,028 ล้านเหรียญ และในปี 2011 ยอดการใช้จ่ายอยู่ที่ $1,251 ล้านเหรียญ เพิ่มขึ้น 22%
  • Week Ending Dec. 2 : ปี 2010 ยอดการใช้จ่ายอยู่ที่ $5,164 ล้านเหรียญ และในปี 2011 ยอดการใช้จ่ายอยู่ที่ $5,959 ล้านเหรียญ เพิ่มขึ้น 15%
จะเห็นได้ว่าถึงแม้ยอดการใช้จ่ายของ Black Friday จะมี % เพิ่มมากขึ้น 26% แต่ Cyber Monday ยังมียอดจำนวนเงินที่มากกว่าอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งนั่นก็แสดงว่าการช้อปปิ้งออนไลน์ Cyber Monday ก็ยังน่าสนใจกว่า Black Friday อยู่พอสมควร แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่สนใจ Black Friday นะครับ แต่ผมกำลังจะบอกว่า Cyber Monday ที่ไม่ค่อยมีใครพูดถึงนัก มันน่าลงไปเล่นและลงทุนมากกว่า Black Friday หรือไม่ ซึ่งคุณเป็นคนตัดสินใจเอง ส่วนตัวผมก็เล่นทั้งสองนั้นแหละ ฮ่ะๆๆ แต่จะลงทุนเม็ดเงินกับ Cyber Monday มากกว่าแค่นั้นเองครับ
แต่จาก list ข้างบนมีอะไรน่าสนใจอยู่อีกหนึ่งอย่างคือ Week Ending Dec 2 ซึ่งการใช้จ่ายในโลกออนไลน์อยู่ในระดับ $5,164 ล้านเหรียญ คือหลังจากช่วง Cyber Monday ไปแล้วก็ยังมีการซื้อขายกันอย่างหนักหน่วงอยู่ ซึ่งมันมีเทศกาลอะไรบ้างหละ ซึ่ง 10 อันดับวันช้อปปิ้งออนไลน์จาก ComScore มีดังนี้
  1. Cyber Monday : $1,251 ล้านเหรียญ
  2. Monday, Dec. 5 : $1,178 ล้านเหรียญ
  3. Monday, Dec. 12 (Green Monday) : $1,133 ล้านเหรียญ
  4. Tuesday, Nov. 29 : $1,116 ล้านเหรียญ
  5. Tuesday, Dec. 6 : $1,107 ล้านเหรียญ
  6. Friday, Dec. 16 (Free Shipping Day) : $1,072 ล้านเหรียญ
  7. Tuesday, Dec. 13 : $1,064 ล้านเหรียญ
  8. Wednesday, Nov. 30 : $1,025 ล้านเหรียญ
  9. Thursday, Dec. 8 : $1,024 ล้านเหรียญ
  10. Thursday, Dec. 15 :  $1,018 ล้านเหรียญ
green monday ข้อมูลน่าสนใจของ Black Friday และ Cyber Monday
ซึ่งจะเห็นได้ชัดว่าอันดับ 2-10 เป็นช่วงหลังจาก Cyber Monday ทั้งนั้นเลยครับ ^^ และที่สำคัญวันต่างๆ เหล่านี้ทุกอัน มียอดใช้จ่ายมากกว่า Black Friday เสียอีก น่าคิดไหมครับ ว่าจริงๆ แล้ว Black Friday มันเป็นเทศกาลช้อปปิ้งตามร้านค้า Offline ต่างๆ มากกว่าหรือไม่? และอีกอย่างคุณเคยคุ้นกับคำว่า Green Monday และ Free Shipping Day หรือไม่? คุณต้องทำการบ้านให้หนัก อย่าเฮโลตามกันไป เค้าทำอะไรก็ตามก้นกันไป ให้ค้นหาข้อมูลจากหลายๆ แห่งรวมกันให้มาก ซึ่งประสบการณ์สองครั้งที่ผ่านมา ผมบอกได้เลยว่า Black Friday ทำเงินน้อยกว่า Cyber Monday มากนัก (ในสถิติของผม) เพราะฉะนั้น คุณควรหาข้อมูลให้แน่น และตัดสินใจให้ดี ว่าควรจะลงทุนกับคีย์ไหน Black Friday, Cyber Monday, Green Monday, Free Shipping Day
ข้อมูลสำคัญเพิ่มเติมเกี่ยวกับการซื้อของออนไลน์ในช่วง Holiday Season ที่ ComScore ได้ไป Survey มาจากคนใน US ด้วยคำถามที่ว่า “เมื่อคุณตัดสินใจจะซื้อของออนไลน์ในช่วง Holiday Season การส่งของแบบฟรี (Free Shipping) มันสำคัญในการตัดสินใจซื้อของ ของคุณหรือไม่?” ผลการ Survey ออกมาดังนี้
  • 36% ตอบว่า สินค้าที่ Free Shipping สำคัญมาก ถ้าสินค้าไหนไม่ Free Shipping พวกฉันจะตัดสินใจไม่ซื้อมัน
  • 42% ตอบว่า สินค้าที่ Free Shipping ค่อนข้างสำคัญ และฉันจะหาสินค้าที่มัน Free Shipping มากกว่าไม่ Free Shipping
  • 12% ตอบว่า มีก็ได้ไม่มีก็ได้ แต่ฉันจะหามันก่อน แต่ก็ไม่สำคัญเท่าไหร่
  • 1% ตอบว่า ไม่สำคัญ จะ Free Shipping หรือไม่ไม่มีผลในการตัดสินใจซื้อสินค้าของฉัน
  • 2% ตอบว่า ไม่สำคัญเลย ฉันไม่คำนึงถึงเรื่อง Free Shipping หรือไม่ฉันซื้อเพราะอยากซื้อ
  • 6% ตอบว่า ไม่รู้เหมือนกันไม่แน่ใจ – -”
จากผลสำรวจ สินค้าที่ Free Shipping ใน Online Store ค่อนข้างมีผลในการตัดสินใจซื้อสินค้าเป็นอย่างมาก (แต่ส่วนมาก Online Stores จะ Free Shipping อยู่แล้ว) เพราะฉะนั้นเลือกสินค้าที่ Free Shipping ไว้จะได้เปรียบกว่า และน่าแปลกใจคือ 6% ไม่รู้ไม่แน่ใจ เวรกรรมจริงๆ ฮ่ะๆ

ส่วนวันต่างๆ ในปีนี้ได้มีดังนี้

  • Thanksgiving คือวันพฤหัสบดีที่ 22 พฤศจิกายน 2012
  • Black Friday คือวันศุกร์ที่ 23 พฤศจิกายน 2012
  • Cyber Monday คือวันจันทร์ที่ 26 พฤศจิกายน 2012
  • Green Monday คือวันวันทร์ที่ 2 ของเดือนธันวาคม
ฝากไว้แค่นี้นะครับ สำหรับข้อมูลที่ผมหามาให้ ส่วนการตัดสินใจอยู่ที่คุณ ว่าคุณจะลงทุนกับคีย์ไหนมากกว่ากัน บางคนบอกก็ทำมันทั้งสองคีย์เลย ก็ไม่ผิดถ้าคุณทำได้ โดยที่คุณไม่ยุ่งเกินไป และลงทุนเยอะเกินไป แต่ใครทุนน้อยก็เลือกซักทางนึง จะเป็น Black Friday, Cyber Monday, Green Monday, Free Shipping Day หรือแม้แต่ Christmas  ตัดสินใจให้ดี ขอให้ร่ำรวยในช่วงปลายปีนะครับ ^^


Read more: http://www.ksrrider.com/holiday-shopping-season-data/#ixzz2AHCxIUpf

cBlogger เวอร์ชั่น 2 โพสข้อมูล Amazon ลง Blogger



Feature ของโปรแกรมว่าทำอะไรได้บ้าง
1. ดึงข้อมูลจาก Amazon ด้วย keyword หรือ asin
2. สามาถโพสข้อมูลลง Blogger
3. สามาถปรับเปลี่ยน Template ได้เอง (แล้วแต่ความสามารถในการปรับแต่งของแต่ละท่าน)
4. มี TAG ให้เลือกใช้กับ Template มากพอสมควร เช่น {title} ก็จะดึง title จาก amazon หรือ {reviews} ก็จะดึง customer reviews มาแสดง
ส่วนที่ปรับเปลี่ยนจาก version เดิม
1. ท่านสามารถ config ค่าได้ที่หน้า index ซึ่งเหมาะแก่การใช้ imacro รันข้อมูล
2. โปรแกรมจะ Random ข้อมูล keyword และจะไม่ดึงค่าซ้ำมาโพสข้อมูล
3. ท่านสามารถปรับเปลียน Template ได้ที่หน้าเว็บ ไม่ต้องแก้ไขในไฟล์ config
 
ดาวโหลดที่นี่
http://www.ziddu.com/download/16889756/cBloggerV2.rar.html
ตัวอย่าง
http://testcblogger.blogspot.com/
 
วิธีติดตั้ง
ขอบคุณ คุณ gilbert

Tags : cBlogger เวอร์ชั่น 2 โพสข้อมูล Amazon ลง Blogger , Amazon ลง Blogger , Amazon to Blogger

AMAZON คืออะไร


ปัจจุบันธุรกิจ บนโลก Online กำลังจะเปลี่ยนแปลงไปในแนวทางที่ดีขึ้น จากธุรกิจแบบเดิม ๆ ซึ่งจะเป็นธุรกิจแนวใหม่ที่สามารถให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้โดยตรงเป้าหมาย ทั่วทั่งโลก โดยไม่จำเป็นต้องมีสินค้าหรือบริการเป็นของตัวเอง เพราะ เทคโนโลยีและ อินเทอร์เน็ตกำลังทำให้โลกของเราเล็กลง เชื่อมโยงกันได้มากขึ้น


Amazon.com เป็น Website หนึ่ง ที่มีผู้นิยมมากเป็นอันดับต้น ๆเป็นธุรกิร Online ที่สามารถเริ่มต้นได้ทันทีโดยที่ ไม่จำเป็นต้องมีสินค้าและบริการเป็นของตัวเอง และยังเป็นอีกช่องทางหนึ่งในการสร้างรายได้เสริม สามารถโฆษณาสินค้าอื่น ๆ ของคนอื่นได้ทั่วโลกตลอด 24 ชั่วโมง อีกด้วย โดยที่ไม่ต้องกังวล เรื่องการจัดส่งสินค้า , การจัดเก็บสินค้า หรือแม้กระทั่งการชำระเงินต่าง ๆ เป็นต้น

SEO เพื่อขายของใน Amazon




  • จับปลาเล็กเพื่อล่อปลาใหญ่


อย่าเน้นขายแต่ของใหญ่อย่างเดียว ต้องขายของเล็กๆน้อยๆ เพื่อเอาจำนวนไปเพิ่ม Referral rate อย่างเช่นพวก MP3 Download, หนังสือ, สายไฟ พวกนี้ราคาถูก ขายง่าย พอเราเพิ่มค่า Referral rate ขึ้นไปสุดๆได้แล้ว พวกหมวดอื่นๆเน้นของใหญ่ เช่น Home & Garden พวกนี้ก็จะเป็นปลาใหญ่ ที่ขายยาก แต่ขายได้แล้วรับค่า Commission ไปเต็มๆ

  • Electronics


สินค้าพวกนี้ขายดีอยู่แล้ว เริ่มคิดอะไรที่มันใกล้ตัวก่อน มองทุกอย่างแบบบูรณาการ เช่น Notebook แล้วไงต่อ สายไฟ, Adapter, Hard Disk, Cover, Sleeve, Software, Games, Repair, Parts

  • สินค้าตามฤดูกาล


หน้าร้อน, หน้าหนาว, กิจกรรมส่วนใหญ่จะทำอะไรกัน เสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย อุปกรณ์ที่ใช้เฉพาะฤดูนั้นๆ เช่น ฤดูพายุเข้า ควรจะขายอะไรดี?

  • สินค้าตามเทศกาล


วันสำคัญต่างๆของ US, เปิดเทอม, วันพ่อ, วันวาเลนไทน์, คริสมาสต์, Black Friday
สินค้าตามฤดูกาลและเทศกาลต้องวางแผนทำก่อนที่วันพวกนี้จะมาถึง เพราะผม Set ให้โพสท์สินค้าวันละ 1 ชิ้น พอถึงเวลามันก็จะพอดีกัน

ร่วมเป็นสมาชิก Blogseothai คุณคือตัวจริง !