แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ keyword แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ keyword แสดงบทความทั้งหมด

SEO ให้ Blogspot เพื่ออันดับบล็อกการตลาดที่ดี Blog Marketing


Search engine ทุกแห่งต่างพัฒนาตัวเองอย่างสม่ำเสมอ การพัฒนานั้นย่อมเกิดกระบวนการใหม่ขึ้นมา ส่วนตัวนั้นผมจะให้ความสำคัญกับการทำ Onpage มากๆ บทความนี้จึงเป็นการนำความรู้เกี่ยวกับ Onpage ที่เกิดจากการติดตามผล สังเกตุ และวิเคราะห์ ความสำคัญของ Onpage ของ Google Bot สรุปออกมา เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยน ความรู้และประสบการ์ณที่เหล่า SEO ได้เจอมาครับ
จากการสังเกตุนั้นพบว่า Google ได้มีการให้คะแนนในฝั่ง Onpage เช่นเดียวกับการให้คะแนนในฝั่งของ Offpage (ที่เรียกว่า PageRank) ส่วนตัวผมได้เรียกคะแนนนั้นว่า ค่า “Priority”
Priority คือ ค่าการประเมินผลของการปรับแต่ง Onpage ไม่ทราบแน่ชัดว่ามีกี่ระดับ แต่จากการทดสอบนั้นพบว่ามันแบ่งออกเป็นสามระดับ ค่านี้ไม่แปรผันกับ PR (PageRank) อาจแบ่งได้ดังนี้
  1. Basic Priority คือการปรับ Onpage เพื่อรองรับการทำ SEO ทั่วไป โดย  Basic Priority นั้นจะเป็นค่าในระดับเริ่มต้น ซึ่งเกิดจากการปรับ  URL Title หรือ Meta (อธิบายเพิ่มเติม) ส่งผลให้ Bot สามารถเข้าใจว่า Content นั้นคือ Content อะไร ซึ่ง Bot ก็จะนำไปวิเคราะห์ Offpage เพื่อทำการจัดอันดับต่อไป
  2. Medium  Priority คือการปรับ Onpage เพื่อเพิ่มประสิทธิ์ภาพการทำ SEO หลักการของการปรับ Onapge ใน Medium  Priority นั้นก็เพื่อทำให้ Bot ทำงานได้ง่ายขึ้น ซึ่งการเพิ่มประสิทธิ์ภาพนั้นจะมีหลายวิธีการดังตัวอย่างต่อไปนี้
    • มี Sitemap เพื่อง่ายต่อการเข้าถึงหน้าต่างๆ ในเว็บไซต์ (ในกรณีที่เว็บไซต์มีขนาดใหญ่) ทำให้ Bot ทำงานได้ง่ายและรวดเร็วมากขึ้นในการ Crawl แต่ละครั้ง อีกทั้งยังทำให้ Content ใหม่ในเว็บไซต์ที่ Post ไป Index อย่างรวดเร็ว
    • มี Breadcrumbs เพื่อเป็นการบอกตำแหน่งของ Content นั้นๆ ทำให้ Bot เข้าถึงตำแหน่งต่างๆ ของ Content ได้ถูกต้องตาม Site Structure ที่วางไว้
    • มีการทำ Web Site Optimization เพื่อเพิ่มความเร็วในการโหลดหน้าเว็บไซต์ ทำให้การเข้ามา Crawl หนึ่งครั้งในเว็บไซต์เก็บข้อมูลได้มากขึ้นกว่าเดิม
    • ผ่านมาตรฐาน W3C Validation เพื่อเป็นตัววัดคุณภาพ ตามมาตรฐาน ISO
  3. High Priority คือการปรับ Onpage เพื่อผู้ใช้เป็นหลัก โดยพิจารณาการจัดอันดับจาก “คุณภาพผู้เข้ามาใช้งานเว็บไซต์” ซึ่ง Google เริ่มที่จะให้ความสำคัญมากขึ้น หลักการก็คือเว็บไซต์ใดก็ตามที่มีผู้ใช้เข้ามาใช้งานมากและนาน Google จะจัดอันดับให้เว็บไซต์นั้นสูงขึ้น
    หากตามไปเจอเว็บไซต์ที่ Backlinks น้อย Density มีปริมาณที่แปลกๆ อาจจะน้อยเกินไปหรือมากเกินไป แต่สามารถอยู่ในอันดับที่ดีๆ ได้ตั้งข้อสันนิฐานได้ว่าเว็บไซต์นั้นอาจจะเป็น High Priority เว็บนั้นเอง
    ขยายความคำว่า “คุณภาพผู้เข้ามาใช้งานเว็บไซต์” สักหน่อย คุณภาพผู้ใช้นั้นก็เสมือนกับเป็นกระจกส่งถึงคุณภาพของเว็บไซต์ เมื่อเว็บไซต์ดี มีเนื้อหาไม่ซ้ำใคร (Unique Content) เว็บไซต์สามารถ Present ตัวเองได้ดีกว่าเว็บไซต์คู่แข่ง เมื่อผู้ใช้เข้ามาเจอเว็บไซต์ของคุณก็อยากจะกลับมาอีก (Traffic Return) เว็บไซต์ของคุณถูกแนะนำและบอกต่อผ่านสื่อต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการทำลิงค์มาจาก Blog มาจาก Web Sites มาจาก Social network/Social media  สิ่งเหล่านี้มันสะท้อนไปถึงคุณภาพนั้นเอง ไม่ว่าเว็บไซต์ของคุณจะอยู่อันดับที่เท่าไร เขาจะคลิกเว็บไซต์คุณเข้ามาใช้งาน และใช้เวลาอยู่ในเว็บไซต์คุณนานกว่าเว็บไซต์คู่แข่ง และนั้นเองทำให้ Google Bot นำไปประเมินอันดับที่คุณควรจะได้
“Content is King” คำนี้เป็นคำที่เราคุ้นเคยกันดี อย่าลืมว่าผู้เสพ Content ไม่ใช่ Bot แต่คือคน จึงขอเสนอคำอีกคำ นั้นก็คือ “User is King” ซึ่งน่าจะเป็นอีกหนึ่งแนวทางที่ยังยืน และเมื่อถึงจุดอิ่มตัวของการทำ SEO คุณก็อาจจะไม่จำเป็นต้องสนใจ SEO อีกต่อไป
สุดท้ายนี้บทความนี้เขียนขึ้นมาจากการทดสอบ สังเกตุ สรุปผล โดยนำประสบการ์ณส่วนตัวมาวิเคราะห์ ซึ่งอาจจะถูกหรือผิดใดๆ ก็ตาม จึงน้อมรับฟังความคิดเห็นของทุกท่านมา ณ ที่นี้ เพื่อให้ได้ซึ่งความรู้ที่สามารถนำกลับมาใช้งานได้ต่อไป


วันนี้ผมจะมาแนะนำให้ทุกท่านทราบถึงลักษณะโครงสร้างที่ดีของ SEO ซึ่งทุกๆเรื่องที่ผมพูดไปนั้น ล้วนแล้วแต่มีความสำคัญในการจัดอันดับทั้งสิ้น ทั้งนี้หากลักษณะโครงสร้างของเว็บเราดีแล้ว มันจะทำให้การทำอันดับของเราง่ายขึ้นมาก ๆ ครับ บ้างครั้งไม่ทำอะไรเลย ปรับแค่โครงสร้างของสามารถขึ้นไปอยู่ในหน้า 1 ได้เลยครับ ต้องทำความเข้าใจก่อนนะครับว่า ทั้งหมดที่ผมจะกล่าวไปนี้ปัจจุบัน Search Engines ไม่ได้นำไปจัดอันดับแล้วนะครับ แต่มันก็ยังมีความสำคัญต่อการทำ SEO อย่างมากเลยละครับ
มาดูกันดีกว่าครับว่าลักษณะโครงสร้างที่ดีของ SEO นั้นเป็นอย่างไร ดูที่รูปก่อนนะครับ
ลักษณะโครงสร้างที่ดีของ SEO
[ SEO ] ลักษณะโครงสร้างที่ดีของ SEO
  1. Title ต้องมี Keyword ที่ค้นหา ซึ่ง Title คือส่วนสำคัญส่วนหนึ่งของการปรับโครงสร้าง อีกทั้งยังปรับโครงสร้างได้ง่ายที่สุด นี้เป็นตัวอย่าง Code ครับ
    <title>Sutenm.com » Blog Archive » วิธีเช็ค Index ใน Domain และ SubDomain ของโดเมนนั้นๆ</title>
  2. Meta Description ต้องมี Keyword ที่ค้นหา Meta Description ก็คือคำสั่งในภาษา HTML ที่ประกาศไว้ภายใน Hearder Tag หรือภายในคำสั่ง <head></head> นั้นเองครับ ความยาวของ Description ไม่ควรเกิน 200 อักษรครับ หากยาวไปมันก็จะไม่แสดงผลนั้นเองครับ นี้เป็นตัวอย่าง Code ครับ

    <meta name=”description” content=”วันนี้ผมมจะมาแนะนเรื่องวิธีเช็ค Index ใน Domain ของเราครับ เช่นโดเมนของผมคือ www.sutenm.com และมี SubDomain คือ” />

    ซึ่งการปรับแต่ง Description นั้นไม่มีผลกระทบกับตำแหน่งของคุณใน Search Engines ครับ แต่มันคือส่วนสำคัญที่ทำให้ผู้ที่ค้นหาทราบว่าในเว็บของเรามีอะไร(แน่นอนว่าในบทความของเราจะต้องมี Keyword คำที่ค้นหาอยู่ด้วยครับ) ซึ่งส่วนมากมักจะกำหนดให้มันเป็นแบบ Static คือกำหนดคำที่เราต้องการให้โชว์ใน Search Engines เข้าไปเลย ซึ่งมันก็แล้วแต่ลักษณะความต้องการของเราอีกทีครับ แต่หากเราไม่ใส่ Description ไปนั้นใน Google มันจะไป Random Description มาให้เราครับ ซึ่งในเว็บนี้ผมก็ไม่ได้ใส่ไว้ครับ
  3. URL ต้องมี Keyword ที่ค้นหา หรือบางท่านอาจจะเรียกว่า URL Structure ครับ สำหรับวิธีปรับแต่ง URL ให้เป็น URL Structure นั้นจะใช้วิธีการเขียน .htaccess ไฟล์ไปวางใน Root Directory ครับซึ่ง Hosting ที่เราใช้บริการอยู่จะต้อง Support htaccess ด้วยนะครับ
  4. Meta Keyword คือ Keyword ที่เราต้องการเน้นในหน้านั้น ซึ่งจะต้องสอดคล้องกับเนื้อหาในเว็บของเรา หากมีคนค้นหาใน Keyword นั้น ๆ แล้วต้องการให้เว็บของเราแสดงออกมา ซึ่งเราสามารถใส่ได้หลายๆ คำโดยใช้่เครื่องหมาย , คั่นครับ
    <meta name=”keywords” content=”Check Index, Domain, Site:, SubDomain, เช็ค Index” />
ทั้งหมดที่กล่าวมันนั้นคือลักษณะโครงสร้างที่ดีของ SEO นะครับ ซึ่งส่วนสำคัญคือ 3 ข้อแรกครับ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นหากเว็บของเราโครงสร้างไม่ดี ก็ใช่ว่าจะขึ้นไปอยู่ในอันดับดี ๆ ไม่ได้นะครับ แต่หากเราปรับโครงสร้างเว็บของเราแล้วจะทำให้การทำ SEO ขึ้นตอนต่อไปมันง่ายขึ้นอีกเยอะครับ





กลับมาว่ากันด้วยเรื่องของการทำ SEO ให้กับ Blogspot ของเรากันบ้าง จากครั้งก่อนที่ว่าด้วยเรื่อง บล็อกการตลาด เริ่มอย่างไร ทำอย่างไร ให้เป็นบล็อกการตลาด ไป และกล่าวถึงความสำคัญของการทำ SEO ให้ Blogspot ของเรา สำหรับวิธีการทำ SEO หรือ Search Engine Optimization ให้กับบล็อกการตลาดของเราในที่นี้นั้น ผมเขียนจากวิธีการทำในแบบของผมเองนะครับ

หากท่านใดอ่านแล้วมีวิธีเด็ดกว่า หรือ มีเทคนิคเคล็ดลับที่บอกเล่าเก้าสิบได้ ก็สามารถบอกเล่ากันได้ถึงวิธีของท่าน เพื่อให้เพื่อนๆ ที่สนใจการทำ SEO บล็อกการตลาดได้เข้ามาศึกษากัน เป็นวิทยาทานครับ สำหรับผมเองมีการทำไม่กี่ขั้นตอนง่ายๆ ครับ

เอาล่ะ... หากพร้อมแล้วเรามาเริ่ม การทำ SEO ให้ Blogspotเพื่ออันดับบล็อกการตลาดที่ดี ในแบบฉบับของผมกันเลยดีกว่า...

เทคนิคการใช้ Keyword ตามหลัก SEO ให้ Blog ติดหน้า 1


วันนี้ดิฉันจะแบ่งปันเกี่ยวกับการใช้Keyword กับ Blog MLMหรือ Website MLM ของคุณให้ถูกหลัก SEO ( Search Engine Optimization ) เพื่อให้ Blog MLM ของคุณถูกค้นพบง่ายขึ้น ต่อจากบทความที่แล้วกันเลยนะคะ
หลังจากที่คุณได้คัดสรร Keyword เด็ด ๆ โดน ๆ เพื่อนำมาจดโดเมนเนมมากมาย จนได้ชื่อที่ถูกใจคุณแล้ว ( แต่ไม่รู้ถูกใจผู้คน หรือ เข้าตากรรมการอย่าง Google ตัวแม่หรือเปล่า) ไม่ต้องวิตกกังวลไปนะคะ เพราะต่อจากนี้ไป สิ่งที่คุณจะปฎิบัติอย่างเคร่งครัดกับ Blog MLMของคุณกำลังจะเกิดขึ้นอย่างสม่ำเสมอ และจะมีผู้คนคลิกเข้า Blog MLMของคุณเพิ่มขึ้นแน่นอนค่ะ
ก่อนอื่น ต้องออกตัวนี๊ดนึง ว่าตัวดิฉันเองไม่ใช่กูรูหรือเชี่ยวชาญอะไรนัก แต่ที่อยากจะแบ่งปันในเรื่องนี้ เพราะเห็นเป็นเรื่องสำคัญมาก ๆ กับเพื่อน ๆ ร่วมชะตากรรมเดียวกัน ซึ่งที่ผ่านมา ตัวดิฉันเองก็ไม่ได้รู้อะไรมากเลย แต่ด้วยความที่ชอบที่จะเรียนรู้และทดลองทำอะไรใหม่ ๆ อยู่เสมอ ก็เลยพอมีประสบการณ์การทำ SEO ด้วยตัวเองมาแบ่งปันใน Blog ให้คุณได้อ่านในวันนี้ไงคะ

การทำ SEO กับ KEYWORD


สิ่งแรกของการทำ SEO ก็คือ การค้นหาคีย์เวิร์ด (Keyword) ที่เป็นที่นิยม หรือคำที่คนทั่วไปใช้กรอกลงไปในช่องค้นหาในเว็บ Search Engine เมื่อต้องการค้นหาอะไรสักอย่าง
ทำไมคีย์เวิร์ดถึงเป็นสิ่งแรกสุด? ก็อย่างที่บอก การทำ SEO คือการทำให้เว็บไซต์ติดอันดับต้นๆ ของผลการค้นหาในเว็บ Search Engine   แต่เราจะติดอันดับในผลการค้นหาของคำไหนล่ะ เราจึงจำเป็นที่จะต้องหาคีย์เวิร์ด หรือคำที่คิดว่าคนจะใช้ค้นหามาเจอเว็บของเรา เรียกว่าต้องมีเป้าหมายก่อนนั่นเอง :เป้าหมาย:   เพราะเดี๋ยวเราต้องนำมันมาใช้ในการปรับแต่งเว็บไซต์ เพื่อให้ Search Engine รับรู้ว่าเนื้อหาของเว็บเรานั้นเกี่ยวข้องกับคีย์เวิร์ดคำนั้น และเพื่อหาทางทำอันดับดีๆ
อธิบายแบบยกตัวอย่างดีกว่า ข้อมูลจาก google/analytics บอกว่าผู้ชมรู้จัก enjoyday.net ผ่าน Search Engine เป็นส่วนใหญ่
ทีนี้ลองเดาดูซิคะว่า enjoyday เว็บที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการทำเว็บไซต์ คนรู้จักเว็บไซต์นี้ด้วยการค้นหาว่าอะไรใน google มากที่สุดคะ?
ติ๊กตอก ติ๊กตอก ติ๊กตอก …
คำตอบคือ “การสร้างเว็บไซต์” ค่ะ ลองไปเช็คที่ google กันดีกว่า
enjoyday สามารถคว้าอันดับแรกจากคีย์เวิร์ด “การสร้างเว็บไซต์” มาได้ แต่อย่าพึ่งดีใจไป ถึงจะอยู่อันดับแรกของคีย์เวิร์ดหนึ่งๆ ได้ ยังต้องดูอีกว่า คำนั้นน่ะ คนใช้ในการค้นหามากน้อยแค่ไหน เพราะถ้าเราติดอันดับแรกในคีย์เวิร์ดที่คนเค้าไม่ใช้กัน ลองคิดดูว่าจะมีคนหลงเข้ามาในเว็บเราหรือเปล่า
.ทีนี้เปลี่ยนใหม่เป็นคำว่า “สร้างเว็บไซต์” อันดับจะตกลงมาหน่อย ในขณะที่อันดับ 4 เมื่อกี้ขึ้นไปเป็นอันดับ 1   และถ้าใช้คีย์เวิร์ดเหลือแค่ “สร้างเว็บ” อันดับของ enjoyday ก็จะตกลงไปอีก จะเห็นว่าเปลี่ยนคำที่ใช้ค้นหานิดหน่อย ก็มีผลกับอันดับการค้นหาอย่างน่าแปลกใจ
.ทีนี้อยากให้ดูอีกคำค่ะ คำว่า “สอนทำเว็บ”
อยากให้สังเกตว่า เว็บไซต์ที่ติดอันดับแรกๆ หรือหน้าแรก ของคีย์เวิร์ด “สอนทำเว็บ” นั้น  เป็นเว็บคนละกลุ่มกับเว็บที่ติดอันดับแรกๆ ในคีย์เวิร์ด “สร้างเว็บไซต์”   ในขณะที่ enjoyday ติดอันดับการค้นหาหน้าแรกในทั้ง 2 คีย์เวิร์ด  เพราะว่า enjoyday เล่น 2 คำเลย   ที่จะบอกก็คือ เราสามารถที่จะเล่นคีย์เวิร์ดได้หลายคำค่ะ จากเว็บเดียวกันนี่แหละ   enjoyday ก็ยังเล่นอีกหลายคำสำหรับหน้าเนื้อหาที่ต่างกันไปค่ะ (หวังว่าเว็บอื่นคงไม่มาแอบเห็นนะ 555)
ถ้าใน title ชื่อเว็บ enjoyday ไม่ได้ใส่คำว่า “สอนทำเว็บ” เอาไว้  ก็ยากที่จะทำให้ติดอันดับดีๆ ของผลการค้นหาของคำนี้ได้ค่ะ   หรือถ้าเราเน้นแต่คำว่า “สอนทำเว็บ”  ไม่ได้ใส่คำว่า “สร้างเว็บไซต์”  ไว้ใน title หรือส่วนอื่นๆ ของเว็บไซต์เลย  เว็บก็ไม่น่าจะติดอันดับต้นๆ ของคีย์เวิร์ดนี้ได้เช่นกันค่ะ
แต่ถึงจะติดอันดับในหน้าแรกได้แล้วในหลายคีย์เวิร์ด คนเข้าเว็บ enjoyday เฉลี่ยต่อวันก็ไม่มากค่ะ ประมาณแค่ 400 กว่าคนต่อวัน   ลองแอบเช็คเว็บที่อันดับดีกว่า คนเข้าเว็บก็ยังไม่ถึงพันคนต่อวันเช่นกัน ทั้งนี้เพราะมันไม่ใช่คีย์เวิร์ดยอดฮิต จำนวนการค้นหาคีย์เวิร์ดเหล่านี้ต่อวันไม่มาก จึงเรียกคนเข้าเว็บ (Traffic) ไม่ได้สูง หรือเป็นไปได้ว่าเรายังค้นหาคีย์เวิร์ดที่ดีกว่านี้ไม่เจอ ><”
สำหรับบางคนที่จะทำเว็บ แต่ยังไม่มีเรื่องที่จะทำเจาะจงเอาไว้ ถ้าอยากทำเว็บให้มีคนเข้าชมจำนวนมาก (ประมาณเว็บที่ำทำเพื่อหาเงินออนไลน์โดยเฉพาะนั่นแหละ) เราสามารถเช็คดูความนิยมของตลาดว่าเรื่องไหนกำลังมาแรง มีคนค้นหาต่อวันเป็นจำนวนมาก แล้วเลือกทำเรื่องนั้นๆ ก็ได้ค่ะ
.
ในการมองหาคีย์เวิร์ดมาใช้งานนั้น ให้ดูความนิยมว่าปริมาณค้นหามากน้อยขนาดไหน  และให้ดูจำนวนเว็บคู่แข่ง  จากนั้นเข้าไปดูเว็บคู่แข่งว่าเป็นอย่างไรพอจะสู้ไหวหรือเปล่า
บางคีย์เวิร์ดก็มีการเปลี่ยนแปลงตามช่วงเวลา ขึ้นกับฤดูกาล เทศกาลต่างๆ   อย่างถ้าเราอยากจะติดอันดับต้นๆ ของคีย์เวิร์ดหนึ่งในช่วงเวลาไหนเป็นพิเศษ ก็ต้องมีการวางแผนและทำ SEO ล่วงหน้าก่อน เพื่อให้เว็บติดอันดับดีๆ ทันในช่วงเวลาที่ต้องการได้
.
เริ่มต้นเราจะต้องมีคีย์เวิร์ดหลักก่อน ซึ่งมาจากเนื้อหาของเว็บไซต์เรา เช่น ถ้าเว็บไซต์เราขายมือถือ คำแรกที่เรานึกออกก็คือ มือถือ และยี่ห้อมือถือต่างๆ  จากนั้นให้เรานำคีย์เวิร์ดที่คิดขึ้นได้ไปตรวจดูว่ามีคนใช้คำนั้นในการค้นหาจำนวนเท่าใด   โดยใช้เครื่องมือต่างๆ ซึ่งเราจะเห็นคีย์เวิร์ดอื่นๆ อีกที่คนใช้ค้นหากัน อาจทำให้ปิ๊งไอเดียอะไรขึ้นมาบ้างค่ะ
.

เครื่องมือสำหรับค้นหาคีย์เวิร์ดดีๆ

Google Keyword Tool External
https://adwords.google.com/select/KeywordToolExternal
อันนี้เป็นเครื่องมือค้นหาคีย์เวิร์ดที่ google เตรียมให้กับผู้ที่ใช้บริการ Adwords ลงโฆษณากับ google เพื่อที่จะดูว่า แต่ละคีย์เวิร์ดมีการแข่งขันราคากันอย่างไร แต่เราก็สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ค่ะ ทั้งยังสนับสนุนภาษาไทยอีกด้วย
Google Search-based Keyword Tool
http://www.google.com/sktool
Google Trend ใช้ดูความนิยมของตลาดได้
http://www.google.com/trends
ตรวจสอบความนิยมของ WordPress VS Joomla กันดีกว่า
อื่นๆ
http://truehits.net/trend อันนี้ของบ้านเราเองค่ะ
http://freekeywords.wordtracker.com
สำหรับคีย์เวิร์ดที่มีการแข่งขันสูง เช่น เกมส์ ดูดวง ฟังเพลง … ถ้าทำเว็บติดอันดับต้นๆ ได้  traffic มหาศาลแน่นอน  :ฝันเฟื่อง:
คีย์เวิร์ดแต่ละคำมีความยากง่ายต่างกันในการทำอันดับ การที่เลือกคีย์เวิร์ดที่ดี และนำไปใช้อย่างถูกต้อง จะทำให้เว็บไซต์ของเราขึ้นไปอยู่อันดับต้นๆ ของเว็บ Search Engine ได้ การใช้คีย์เวิร์ดที่กว้างเกินไป (Widely Keyword) คู่แข่งจะเยอะ และทำอันดับดีๆ ได้ยาก การที่เราเลือกใช้คีย์เวิร์ดที่เฉพาะเจาะจง (Niche Keyword) จะทำอันดับดีๆ ได้ง่ายกว่า เช่น แทนที่จะใช้ “Hotel” เดี่ยวๆ ก็ใช้คำที่เจาะจงระบุถึงตัวสินค้าหรือตลาด “Thailand Pattaya Hotel”, “Cheap Hotel in Bangkok” เป็นต้น

ร่วมเป็นสมาชิก Blogseothai คุณคือตัวจริง !