แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ การทำ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ การทำ แสดงบทความทั้งหมด

การทำ SEO เริ่มต้นทำ SEO


enjoyday นั้นตั้งใจอยู่แล้วที่จะเขียนแนะนำเรื่องการทำ SEO  เพราะเป็นเรื่องที่สำคัญในการทำเว็บไซต์ แต่ว่ามันต้องใช้เวลาพอสมควรในการเรียบเรียง และเขียนออกมา คงต้องรอกันหน่อยนะคะ  
สำหรับผู้อ่านที่สนใจ ไม่อยากรอ อยากรู้ว่าการทำ SEO เบื้องต้นนั้นทำได้อย่างไรบ้าง สามารถอ่านจาก “คู่มือการทำ SEO สำหรับผู้เริ่มต้นฉบับภาษาไทยจาก Google” 



ดาวน์โหลดได้ที่นี่ค่ะ
http://www.google.co.th/intl/th/webmasters/docs/search-engine-optimization-starter-guide-th.pdf
.
คำแนะนำจาก Google ในการเพิ่มประสิทธิภาพการค้นหาให้กับเว็บไซต์ enjoyday สรุปมาบางส่วนให้อ่านกันง่ายๆ ค่ะ  

1. ตั้งชื่อ Title ของหน้าเว็บว่าเกี่ยวกับเรื่องอะไร และไม่ซ้ำกันในแต่ละหน้า

การตั้งชื่อให้แต่ละหน้าเว็บนั้นทำโดยการใส่ข้อความใน tag <title> ที่อยู่ใน tag <head> เช่น
<html>
<head>
   <title>Brand’s Baseball Cards – BuyCards, Baseball News, Card Prices</title>
   …
</head>
ซึ่ง Google จะใช้ชื่อที่เราตั้งแสดงในผลการค้นหาด้วย
เราอาจจะต้องใช้วาทะศิลป์สักนิด ในกรณีที่เว็บของเรามีอันดับต่ำกว่า เช่น อยู่หน้าแรกเหมือนกันแต่อยู่ลำดับที่ 5    ถ้าเราเขียนชื่อเว็บได้ชวนให้คลิกเข้ามาชม ผู้ชมก็จะเลือกคลิกมาที่เว็บเราด้วย คำที่มีผลก็เช่น สอนตั้งแต่พื้นฐาน, แบบละเอียด, แบบ stept by step, ฟรี เป็นต้น
ข้อแนะนำจาก Google
  • ตั้งชื่อให้สื่อถึงเนื้อหาของหน้าเว็บ ไม่ควรปล่อยเป็นค่าเริ่มต้นที่ได้มาตอนเขียนเว็บเพจ เช่น Untitled, New Page1
  • ตั้งชื่อให้แตกต่างกันในแต่ละหน้า หลีกเลี่ยงการใช้ชื่อเดียวกันในทุกหน้า
  • ตั้งชื่อที่สั้น แต่ได้ใจความ เพราะถ้ายาวเกินไป Google จะแสดงได้เพียงบางส่วน
.

2.ใช้ Meta tag description ข้อความอธิบายเกี่ยวกับเว็บไซต์

Meta tag description ใช้สำหรับใส่ข้อความบรรยายเว็บไซต์ด้วยประโยคสรุป  อยู่ในส่วนของ tag <head>
<html>
<head>
<title>Brand’s Baseball Cards – BuyCards, Baseball News, Card Prices</title>
<meta name=”description” content=”Brandon’s Baseball Cards provides a large selection of vintage and modern era baseball cards for sale. We also offer daily baseball news and events in …”>

</head>
โดยคำอธิบายที่เราใส่ให้หน้าเว็บจะถูกนำมาแสดงในผลการค้นหาด้วยใต้ชื่อเว็บ หรือ title   แต่ไม่แน่เสมอไป เพราะบางครั้ง Google ก็เลือกดึงข้อความจากในหน้าเว็บนั้นมาแสดงเอง โดยดูจากคำค้นหา    แต่อย่างไรเราก็ควรใส่ไว้ และไม่ต้องใส่ให้ยาวเกินไปเพราะมันแสดงไม่พอค่ะ
ข้อแนะนำจาก Google
  • เขียนคำอธิบายเว็บให้ละเอียดแต่ให้กระชับ และดึงดูดความสนใจ
  • ไม่เขียนคำอธิบายที่ไม่เกี่ยวข้องกับหน้านนั้น
  • ระบุคำหลักที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาเราลงไปด้วย
  • เขียนคำอธิบายที่ไม่ซ้ำกันสำหรับแต่ละหน้าเว็บ
.

3. การปรับปรุงโครงสร้าง URL ของเว็บ

URL ก็คือลิงค์ข้อความที่บอกตำแหน่งของข้อมูลใน Internet ไม่ว่าจะเป็น Web page, File ประเภทต่างๆ เช่น รูปภาพ เสียง
ข้อแนะนำจาก Google
  • ใช้คำที่ได้ใจความใน URL ที่ประกอบด้วยคำที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา
    ไม่ควรเป็นค่าพารามิเตอร์และรหัส session ที่ไม่จำเป็น เช่น http://www.enjoyday.net/list.php?catid=34&no=37
    ไม่ใช้คำที่ไม่สื่อความหมาย เช่น page1.html
  • สร้างโครงสร้าง directory ที่เรียบง่าย การใช้ directory ที่จัดเนื้อหาอย่างเป็นระเบียบจะช่วยให้ผู้ชมรู้ตำแหน่งของตนที่อยู่บนเว็บไซต์ได้ เช่น
    http://www.enjoyday.net/webtutorial/html/index.html (บทเรียนออนไลน์สอน HTML)
    http://www.enjoyday.net/webtutorial/css/index.html (บทเรียนออนไลน์สอน CSS)
    http://www.enjoyday.net/webtutorial/xhtml/index.html (บทเรียนออนไลน์สอน XHTML)
  • หลีกเลี่ยงการใช้ directory ที่เป็น sub ซอยย่อยจนเกินไป เช่น “…/dir1/dir2/dir3/dir4/dir5/dir6/page.html”
  • หลีกเลี่ยงการใช้ชื่อ directory ที่ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา
.

4. ทำระบบนำทางในเว็บไซต์ให้ใช้งานง่าย

ระบบนำทางที่ดีจะช่วยให้ผู้ชมสามารถเข้าถึงข้อมูลที่ต้องการได้อย่างรวดเร็ว รู้ว่ากำลังอยู่ตรงไหนของเว็บไซต์ และยังทำให้ Google รู้ว่า Webmaster ให้ความสำคัญกับเนื้อหาใด
องค์ประกอบของระบบนำทาง ได้แก่ เมนู, กล่องค้นหา, หน้า sitemap เป็นต้น
ข้อแนะนำจาก Google
  • สร้างลำดับขั้นที่ต่อเนื่องกันอย่างเหมาะสม ไม่แบ่งย่อยจนเกินไป เช่นต้องคลิกถึง 20 ครั้งกว่าเข้าถึงหน้าเนื้อหาย่อยได้
  • ใช้ข้อความสำหรับนำทาง เช่น ใช้ลิงค์ข้อความ หลีกเลี่ยงการใช้งานแบบเมนูเลื่อนลง รูปภาพ flash
  • ใช้การนำทางแบบแสดงเส้นทาง และทำเป็นลิงค์ให้คลิกกลับไปอีกหน้าได้ เช่น Brandon’s Baseball Cards > Articles > Top Ten Rarest Baseball Cards
  • ทำหน้า sitemap แบบ HTML  ที่มีลิงค์ของหน้าทั้งหมดในเว็บ และจัดระเบียบหัวข้อด้วย  หรือถ้ามีจำนวนหน้ามาก ก็ให้แสดงเฉพาะหน้าเว็บหลัก  และไม่ควรปล่อยให้มีลิงค์เสียในหน้า sitemap
  • สร้างไฟล์ sitemap แบบ XML สำหรับให้ Bot ของ Search Engine เข้ามาเก็บข้อมูลเว็บไซต์ได้ง่ายๆ ไม่ต้องไต่ลิงค์ตามหน้าเว็บเพจต่างๆ เอง
  • ใช้หน้า 404 ให้เกิดประโยชน์  ในกรณีที่ผู้ใช้อาจเข้าถึงหน้าที่เว็บที่ถูกลบไปแล้ว หรือพิมพ์ URL ผิด  การสร้างหน้าเว็บ 404 ที่กำหนดเอง โดยนำทางกลับไปยังหน้าแรก  จะดีกว่าปล่อยให้แสดงข้อความ Not Found

การทำ SEO (Search Engine Optimization)


ขั้นตอนการทำ SEO (Search Engine Optimization)

1. วิเคราะห์การแข่งขัน โดยดูจาก การค้นหา คีย์เวิร์ดของเราเทียบกะคู่แข่ง
2. เลือกคีย์เวิร์ดที่เหมาะสม
3. ปรับแต่งเนื้อหาภายในเว็บ
4. เขียนเนื้อหาให้ตรงกับ อัลกอริทึ่ม ของแต่ละ search engine
5. การออกแบบเว็บให้ search engine เข้าถึงได้สะดวก
6. การลงทะเบียนกับ search engine ต่างๆ
7. การสร้างลิงค์ให้กับเว็บไซต์ ในเว็บเรา และเว็บอื่นๆ
8. ติดตามประมวลผล การเลื่อนลำดับ เวลาค้นจาก Search Engine แต่ละที่

การทำ SEO กับ KEYWORD


สิ่งแรกของการทำ SEO ก็คือ การค้นหาคีย์เวิร์ด (Keyword) ที่เป็นที่นิยม หรือคำที่คนทั่วไปใช้กรอกลงไปในช่องค้นหาในเว็บ Search Engine เมื่อต้องการค้นหาอะไรสักอย่าง
ทำไมคีย์เวิร์ดถึงเป็นสิ่งแรกสุด? ก็อย่างที่บอก การทำ SEO คือการทำให้เว็บไซต์ติดอันดับต้นๆ ของผลการค้นหาในเว็บ Search Engine   แต่เราจะติดอันดับในผลการค้นหาของคำไหนล่ะ เราจึงจำเป็นที่จะต้องหาคีย์เวิร์ด หรือคำที่คิดว่าคนจะใช้ค้นหามาเจอเว็บของเรา เรียกว่าต้องมีเป้าหมายก่อนนั่นเอง :เป้าหมาย:   เพราะเดี๋ยวเราต้องนำมันมาใช้ในการปรับแต่งเว็บไซต์ เพื่อให้ Search Engine รับรู้ว่าเนื้อหาของเว็บเรานั้นเกี่ยวข้องกับคีย์เวิร์ดคำนั้น และเพื่อหาทางทำอันดับดีๆ
อธิบายแบบยกตัวอย่างดีกว่า ข้อมูลจาก google/analytics บอกว่าผู้ชมรู้จัก enjoyday.net ผ่าน Search Engine เป็นส่วนใหญ่
ทีนี้ลองเดาดูซิคะว่า enjoyday เว็บที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการทำเว็บไซต์ คนรู้จักเว็บไซต์นี้ด้วยการค้นหาว่าอะไรใน google มากที่สุดคะ?
ติ๊กตอก ติ๊กตอก ติ๊กตอก …
คำตอบคือ “การสร้างเว็บไซต์” ค่ะ ลองไปเช็คที่ google กันดีกว่า
enjoyday สามารถคว้าอันดับแรกจากคีย์เวิร์ด “การสร้างเว็บไซต์” มาได้ แต่อย่าพึ่งดีใจไป ถึงจะอยู่อันดับแรกของคีย์เวิร์ดหนึ่งๆ ได้ ยังต้องดูอีกว่า คำนั้นน่ะ คนใช้ในการค้นหามากน้อยแค่ไหน เพราะถ้าเราติดอันดับแรกในคีย์เวิร์ดที่คนเค้าไม่ใช้กัน ลองคิดดูว่าจะมีคนหลงเข้ามาในเว็บเราหรือเปล่า
.ทีนี้เปลี่ยนใหม่เป็นคำว่า “สร้างเว็บไซต์” อันดับจะตกลงมาหน่อย ในขณะที่อันดับ 4 เมื่อกี้ขึ้นไปเป็นอันดับ 1   และถ้าใช้คีย์เวิร์ดเหลือแค่ “สร้างเว็บ” อันดับของ enjoyday ก็จะตกลงไปอีก จะเห็นว่าเปลี่ยนคำที่ใช้ค้นหานิดหน่อย ก็มีผลกับอันดับการค้นหาอย่างน่าแปลกใจ
.ทีนี้อยากให้ดูอีกคำค่ะ คำว่า “สอนทำเว็บ”
อยากให้สังเกตว่า เว็บไซต์ที่ติดอันดับแรกๆ หรือหน้าแรก ของคีย์เวิร์ด “สอนทำเว็บ” นั้น  เป็นเว็บคนละกลุ่มกับเว็บที่ติดอันดับแรกๆ ในคีย์เวิร์ด “สร้างเว็บไซต์”   ในขณะที่ enjoyday ติดอันดับการค้นหาหน้าแรกในทั้ง 2 คีย์เวิร์ด  เพราะว่า enjoyday เล่น 2 คำเลย   ที่จะบอกก็คือ เราสามารถที่จะเล่นคีย์เวิร์ดได้หลายคำค่ะ จากเว็บเดียวกันนี่แหละ   enjoyday ก็ยังเล่นอีกหลายคำสำหรับหน้าเนื้อหาที่ต่างกันไปค่ะ (หวังว่าเว็บอื่นคงไม่มาแอบเห็นนะ 555)
ถ้าใน title ชื่อเว็บ enjoyday ไม่ได้ใส่คำว่า “สอนทำเว็บ” เอาไว้  ก็ยากที่จะทำให้ติดอันดับดีๆ ของผลการค้นหาของคำนี้ได้ค่ะ   หรือถ้าเราเน้นแต่คำว่า “สอนทำเว็บ”  ไม่ได้ใส่คำว่า “สร้างเว็บไซต์”  ไว้ใน title หรือส่วนอื่นๆ ของเว็บไซต์เลย  เว็บก็ไม่น่าจะติดอันดับต้นๆ ของคีย์เวิร์ดนี้ได้เช่นกันค่ะ
แต่ถึงจะติดอันดับในหน้าแรกได้แล้วในหลายคีย์เวิร์ด คนเข้าเว็บ enjoyday เฉลี่ยต่อวันก็ไม่มากค่ะ ประมาณแค่ 400 กว่าคนต่อวัน   ลองแอบเช็คเว็บที่อันดับดีกว่า คนเข้าเว็บก็ยังไม่ถึงพันคนต่อวันเช่นกัน ทั้งนี้เพราะมันไม่ใช่คีย์เวิร์ดยอดฮิต จำนวนการค้นหาคีย์เวิร์ดเหล่านี้ต่อวันไม่มาก จึงเรียกคนเข้าเว็บ (Traffic) ไม่ได้สูง หรือเป็นไปได้ว่าเรายังค้นหาคีย์เวิร์ดที่ดีกว่านี้ไม่เจอ ><”
สำหรับบางคนที่จะทำเว็บ แต่ยังไม่มีเรื่องที่จะทำเจาะจงเอาไว้ ถ้าอยากทำเว็บให้มีคนเข้าชมจำนวนมาก (ประมาณเว็บที่ำทำเพื่อหาเงินออนไลน์โดยเฉพาะนั่นแหละ) เราสามารถเช็คดูความนิยมของตลาดว่าเรื่องไหนกำลังมาแรง มีคนค้นหาต่อวันเป็นจำนวนมาก แล้วเลือกทำเรื่องนั้นๆ ก็ได้ค่ะ
.
ในการมองหาคีย์เวิร์ดมาใช้งานนั้น ให้ดูความนิยมว่าปริมาณค้นหามากน้อยขนาดไหน  และให้ดูจำนวนเว็บคู่แข่ง  จากนั้นเข้าไปดูเว็บคู่แข่งว่าเป็นอย่างไรพอจะสู้ไหวหรือเปล่า
บางคีย์เวิร์ดก็มีการเปลี่ยนแปลงตามช่วงเวลา ขึ้นกับฤดูกาล เทศกาลต่างๆ   อย่างถ้าเราอยากจะติดอันดับต้นๆ ของคีย์เวิร์ดหนึ่งในช่วงเวลาไหนเป็นพิเศษ ก็ต้องมีการวางแผนและทำ SEO ล่วงหน้าก่อน เพื่อให้เว็บติดอันดับดีๆ ทันในช่วงเวลาที่ต้องการได้
.
เริ่มต้นเราจะต้องมีคีย์เวิร์ดหลักก่อน ซึ่งมาจากเนื้อหาของเว็บไซต์เรา เช่น ถ้าเว็บไซต์เราขายมือถือ คำแรกที่เรานึกออกก็คือ มือถือ และยี่ห้อมือถือต่างๆ  จากนั้นให้เรานำคีย์เวิร์ดที่คิดขึ้นได้ไปตรวจดูว่ามีคนใช้คำนั้นในการค้นหาจำนวนเท่าใด   โดยใช้เครื่องมือต่างๆ ซึ่งเราจะเห็นคีย์เวิร์ดอื่นๆ อีกที่คนใช้ค้นหากัน อาจทำให้ปิ๊งไอเดียอะไรขึ้นมาบ้างค่ะ
.

เครื่องมือสำหรับค้นหาคีย์เวิร์ดดีๆ

Google Keyword Tool External
https://adwords.google.com/select/KeywordToolExternal
อันนี้เป็นเครื่องมือค้นหาคีย์เวิร์ดที่ google เตรียมให้กับผู้ที่ใช้บริการ Adwords ลงโฆษณากับ google เพื่อที่จะดูว่า แต่ละคีย์เวิร์ดมีการแข่งขันราคากันอย่างไร แต่เราก็สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ค่ะ ทั้งยังสนับสนุนภาษาไทยอีกด้วย
Google Search-based Keyword Tool
http://www.google.com/sktool
Google Trend ใช้ดูความนิยมของตลาดได้
http://www.google.com/trends
ตรวจสอบความนิยมของ WordPress VS Joomla กันดีกว่า
อื่นๆ
http://truehits.net/trend อันนี้ของบ้านเราเองค่ะ
http://freekeywords.wordtracker.com
สำหรับคีย์เวิร์ดที่มีการแข่งขันสูง เช่น เกมส์ ดูดวง ฟังเพลง … ถ้าทำเว็บติดอันดับต้นๆ ได้  traffic มหาศาลแน่นอน  :ฝันเฟื่อง:
คีย์เวิร์ดแต่ละคำมีความยากง่ายต่างกันในการทำอันดับ การที่เลือกคีย์เวิร์ดที่ดี และนำไปใช้อย่างถูกต้อง จะทำให้เว็บไซต์ของเราขึ้นไปอยู่อันดับต้นๆ ของเว็บ Search Engine ได้ การใช้คีย์เวิร์ดที่กว้างเกินไป (Widely Keyword) คู่แข่งจะเยอะ และทำอันดับดีๆ ได้ยาก การที่เราเลือกใช้คีย์เวิร์ดที่เฉพาะเจาะจง (Niche Keyword) จะทำอันดับดีๆ ได้ง่ายกว่า เช่น แทนที่จะใช้ “Hotel” เดี่ยวๆ ก็ใช้คำที่เจาะจงระบุถึงตัวสินค้าหรือตลาด “Thailand Pattaya Hotel”, “Cheap Hotel in Bangkok” เป็นต้น

ร่วมเป็นสมาชิก Blogseothai คุณคือตัวจริง !