SEO On-Page

seo onpage

Code ในการปรับแต่ง SEO On-Page


โดยหลักๆ ขอให้ Code คร่าวๆ ก่อน
<b:include data='blog' name='all-head-content'/>
    <title>
 <b:if cond='data:blog.homepageUrl == data:blog.url'>
  <data:blog.title/>
 <b:else/>
  <data:blog.pageName/> | <data:blog.title/>
 </b:if>
</title>
<b:include data='blog' name='all-head-content'/>
<meta content='DESCRIPTION' name='description'/>
    <meta content='KEYWORD' name='keywords'/>
    <meta content='global' name='distribution'/>
    <meta content='10 days' name='revisit'/>
    <meta content='10 days' name='revisit-after'/>
    <meta content='document' name='resource-type'/>
    <meta content='all' name='audience'/>
    <meta content='general' name='rating'/>
    <meta content='all' name='robots'/>
    <meta content='index, follow' name='robots'/>
    <meta content='AUTHOR' name='author'/>
    <meta content='en' name='language'/>
    <meta content='EN' name='country'/>
    <meta content='blogger' name='generator'/>

ขออธิบาย ในส่วนที่ ตัวหนังสือสีแดงก่อนนะครับ
DESCRIPTION = คำอธิบายคร่าวๆว่าบล็อกมีเนื้อหาเกี่ยวกับอะไร
KEYWORD = คำที่เกี่ยวกับเนื้อหาของบล็อก ว่าเกี่ยวกับอะไร
AUTHOR = ชื่อผู้เขียนบล็อก
en = ภาษาอะไร ถ้าไทย ก็ th
EN =  ประเทศอะไร ไทยก็ TH



อ่าส่วนวิธีใช้นะครับ
เราต้องไปที่ 
การเปลี่ยน Template สำหรับ Blogger

จากนั้นค้นหาคำว่า
การปรับแต่ง SEO On-page สำหรับ Blogger ขั้นที่ 1
เปลี่ยนเป็น Code ด้านบน


จากนั้นก็อยู่ที่เนื้อหาของเพื่อนๆแล้วหละว่าจะทำยังไงให้ Onpage SEO แบบนี้ ผมจะใช้บทความที่เกี่ยวกับการปรับแต่ง Onpage SEO บทความนี้เป็นตัวอย่างให้ดูคร่าวๆนะครับว่าBlogger ก็สามารถปรับแต่ง SEO ด้าน On-page ได้เหมือนกัน ให้เพื่อนๆสังเกตุคำว่า Onpage SEO นะครับ ว่าจะมี ตัวหนา ตัวเอียง ตัวขีดเส้นใต้ แล้วก็ลิ้งเข้าหน้าบล็อกหน้าอื่นๆได้ เช่น การเขียนบทความที่ถูกต้อง และ การสร้างบล็อก 

เป็นต้น

ซึ่งจะเห็นว่าบทความตัวอย่างข้างต้นนี้ ผมได้เน้นคำว่า Onpage SEO ใช่ไหมครับ แต่มีข้อแม้เช่นกัน ว่าหากใช้คำเหล่านี้เยอะเกินไป จะทำให้ โดนหักคะแนนจาก Search Engine ครับ ซึ่งหลักๆก็คือ Google นั่นเอง


ยังไม่หมดเพียงแต่นี้นะครับ ให้ดูที่หน้าเว็บของเพื่อนๆจะมีส่วนนี้อยู่
การปรับแต่ง SEO On-page สำหรับ Blogger ขั้นที่ 2

นอกจากส่วนนี้แล้วยังมี Tag ที่จะใช้กันอีก เรียกว่า แท็ก Header ซึ่งก็คือหัวข้อนั่นเอง
ซึ่งจะอยู่ตรงนี้
การปรับแต่ง SEO On-page สำหรับ Blogger ขั้นที่ 3
จะได้ตัวอย่างนี้ ลองปรับแต่งกันดูนะครับ


การปรับแต่ง SEO On-page สำหรับ Blogger ขั้นที่ 4

ที่นี้มาใส่ ALT Tag หรือคำอธิบายรูปภาพกัน โดนวิธีใส่ไปที่ Html ด้านบนซ้าย

แล้วจะเห็น Code Html เยอะแยะเลย ให้สังเกต ตาม กรอบนะครับ

การปรับแต่ง SEO On-page สำหรับ Blogger ขั้นที่ 5


เริ่มเข้มข้นขึ้นมาแล้วหละสิครับเพื่อนๆ ในบทต่อไปอย่าพลาดกันหละครับ ^^
http://blog9t.blogspot.com/2012/07/onpage-seo-blogger.html

Digg คืออะไร



ปัจจุบันกระแส Social Bookmark มาแรง..มันคืออะไร…คงมีหลายคนตั้งคำถาม
Favorites Online คืออะไร คือเว็บไซต์ที่ทำหน้าที่เก็บ URL ของเว็บไซต์ที่ชื่นชอบไว้ดูภายหลัง ซึ่งสามารถเข้าดูได้ทุกที่ทุกเวลาที่เราสามารถเข้าถึงอินเตอร์เน็ตได้ Digg Favorites Online ยังเป็นแหล่งรวบรวมเรื่องราวต่าง ๆ ที่น่าสนใจและเป็นแหล่งโปรโมทเว็บไซต์ เพื่อเพิ่ม Backlink ทำให้เป็นที่รู้จักแพร่หลาย
หลาย ๆ ท่านคงได้ใช้งาน Favorites ของ Internet Explorer ซึ่งทำหน้าที่ในการเก็บ URL ที่เราสนใจในเนื้อหาหรือชื่นชอบ แต่เมื่อเราต้องการใช้งานที่เครื่องของผู้อื่นและอยากจะกลับไปเยี่ยมชม เว็บไซต์นั้นเป็นเรื่องได้ยาก เพราะเว็บไซต์ต่าง ๆ มีอยู่มากมาย บางเว็บไซต์มีชื่อที่ยาว จำยาก หรือเผอิญเราลิ้งค์ผ่านไปเจอบ้าง นั่นไม่ใช่ปัญหา…DiggZy Favorites Online สามารถตอบสนองการใช้งานของคุณได้ ภายใต้เงื่อนไขทุกที่ทุกเวลา
หลาย ๆ คนได้ประยุกต์ใช้สำหรับการเก็บไดอารี่เล่มโปรดหรือรายการกีฬาที่เราชื่นชอบ สถานที่ท่องเที่ยวที่อยากจะไป แผนที่เดินทาง และยังสามารถแชร์…หรือแบ่งปันให้กับเพื่อน ๆ ในกลุ่มของเราหรือใครก็ได้ที่ต้องการรู้ในเรื่องที่เราสนใจ
หลาย ๆ คนสนสัยว่า Digg คืออะไร Digg น่าจะเป็นคำกริยา…หมายถึงการ Submit เว็บไซต์…ฝากเว็บไซต์ไว้กับเวบที่ให้บริการเผยแพร่เรื่องราว บุ๊คมาร์ค

ลองใช้งาน Digg - Social Bookmark ได้ที่ http://digg.bkk.in.th





รูปแบบการให้บริการของ Digg.com คือการนำ Link จากเว็บของเรา และข้อความในจำนวนเล็กๆน้อย ไปสร้าง Link ใหม่ให้กับเรา โดยจะทำการ Link กับมายัง Link ต้นทาง ใครที่ต้องการโปรโมตเว็บไซต์ด้วยวิธีง่ายลองไปสมัครให้บริการดูนะครับ หลังจากทำการสมัครบริการจาก Digg แล้ว - Click > Submit Url ลองหาดูบน Tool ด้านบนของเว็บ - นำ Url ที่ต้องการโปรโมท มาใส่ - กรอก Title ของเว็บ และเนื้อหาอย่างย่อลงไป - กรอกรหัสป้องกันสแปม - เสร็จเรียบร้อย หลังจากนั้นก็รอ เว็บของเราจะค่อยๆไต่อันดับใน Search Engine เอง แนะนำว่าหนึ่งวัน(24ชม.) ไม่ควรเกิน 2-3 Post ต่อวันนะครับ เดียวจะมองว่าเราเป็นสแปม พาลจะโดนแบนเอาครับ แหล่งที่มา: http://submiturl.blogtika.com สมัครบริการDigg: http://www.digg.com

LinkedIn คือ


           คงไม่มีใครปฎิเสธนะครับว่าหนึ่งในนิยามความสําเร็จทางธุรกิจก็คือ การสร้างมิตรภาพ การสร้างเสริมความสัมพันธ์ทั้งระหว่างคู่ค้า เพื่อนร่วมงาน เพื่อนร่วมอาชีพ หรือเรียกรวมๆ กันว่า “Connection” สมัยก่อนการบริหารความสัมพันธ์ดังกล่าวเพื่อประโยชน์ในหน้าที่การงานของเราจะต้องใช้ความพยายามค่อนข้างมาก แต่สมัยนี้เรามี Social Media เฉพาะทางสำหรับคนทำงานอย่าง LinkedIn.com เชื่อว่า thumbsuper หลายท่านคงเคยใช้กันมาไม่มากก็น้อย วันนี้เราเลยขอนำกลเม็ดเล็กๆ น้อยๆ ในการใช้ LinkedIn ให้ได้ประโยชน์สูงสุดครับ
1. ทำโปรไฟล์ให้ชัดเจน อ่านแล้วเข้าใจเราภายใน 1 นาทีเวลาเราเข้าไปใช้งาน LinkedIn หลายครั้งเลยครับที่เรามักจะเจอโปรไฟล์ที่ดูไม่ชัดเจน เขียนว่าทำอะไรได้ ทำงานที่ไหนมาอย่างเดียวอาจจะไม่พอ แต่สิ่งหนึ่งที่จะทำให้ภาพลักษณ์ของเราชัดเจนได้อย่างง่ายๆ ก็คือ ระบุให้ชัดไปเลยว่าถ้าเราจะอธิบายตัวเองสั้นๆ ให้คนที่อ่านโปรไฟล์ของเราเข้าใจได้ในเวลาไม่เกิน 1 นาที จะต้องเขียนอย่างไร
ส่วนตัวผมใช้วิธีการเขียนนิยามไว้สั้นๆ ใต้รูปโปรไล์สั้นๆ 1 ประโยคว่าเป็น “Online Media Practitioner” หรือผู้สนใจใฝ่รู้ในเรื่องสื่อออนไลน์ เพราะผมเป็นคนที่มีพื้นหลังการศึกษาเรื่องสื่อ เคยผ่านงานข่าวงานสื่อมาแล้วเกือบทุกรูปแบบก่อนที่จะก้าวเข้าสู่โลกออนไลน์ ทำให้มีประสบการณ์ด้านสื่อออนไลน์ชัดเจน ใครที่สนใจจะทำความรู้จักตัวตนของผมมากขึ้น ก็อ่านประวัติต่อได้ ถึงจะรู้ว่าอ๋อ ผ่านงานด้านการตลาด และการดูแลผลิตภัณฑ์มาด้วย เป็นต้น… อีกอย่างหนึ่งที่ขอย้ำคือ เราต้องเขียนเข้าใจง่ายๆ อ่านปราดเดียวเข้าใจด้วยนะครับ พอเขียนเสร็จแล้วให้อ่านทวนและแทนใจว่าเราเป็นคนอ่านว่าอ่านแล้วงงหรือไม่
สำรวจตัวเราเองก่อนเลยครับว่า ถ้าจะให้คนอื่นเรียกเราสั้นๆ จะให้เขาเรียกเราเป็นอะไร อันนี้เป็นเรื่อง Personal Brand ด้วยครับ จะให้คนจำคุณว่าเป็นอะไรดี? แตกต่างจากคนอื่นๆ อย่างไร
2. เพิ่มคนที่คุณรู้จักจริงๆ เท่านั้นผมขอแนะนำให้คุณรับแอดหรือเพิ่มรายชื่อคนติดต่อเฉพาะคนที่คุณรู้จักจริงๆ เท่านั้น เพราะการที่คุณเพิ่มใครเข้ามาอยู่ในเครือข่ายของคุณ เท่ากับคุณอาจเปิดให้คนๆ นั้นเข้ามาดูได้ว่าคุณรู้จักใครบ้าง ซึ่งเป็นทั้งคุณและโทษในเวลาเดียวกัน ที่จริงเราสามารถตั้งค่าความเป็นส่วนตัวได้ด้วยว่าเราจะให้คนในเครือข่ายเราเห็น Connection ของเราหรือไม่ ผมเคยลองไม่ให้คนในเครือข่ายมองเห็น Connection ของเราปรากฏว่าคนดูโปรไฟล์หรือติดต่องานเราน้อยลง ดังนั้นสู้ว่าเราเพิ่มเฉพาะคนที่รู้จักจริงๆ แล้วเปิดให้คนรู้จักดู Connection เราได้จะดีกว่า มันจะทำให้คุณได้รับประโยชน์จาก LinkedIn มากกว่า เพราะ LinkedIn เป็นเรื่องของโครงสร้างข้อมูลที่ “เปิด” มากกว่าการเป็นเว็บไซต์สำหรับอัพโหลด Resume แบบ “ปิด”
3. กล้าใช้ภาษาอังกฤษแบบไม่กลัวผิดด้วยความที่ LinkedIn ยังไม่ได้เปิดให้บริการภาษาไทยอย่างเป็นทางการ ผมแนะนำว่าเราควรใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารเป็นหลักแบบที่คุณไม่ต้องไปกลัวผิดอะไรมาก เพราะถ้าคุณสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษแล้ว คุณก็จะใช้บริการของ LinkedIn ได้คุ้มค่าไม่ว่าจะเป็นการถาม-ตอบใน LinkedIn Answers หรือการใช้ Application ต่างๆ ที่อยู่ใน LinkedIn ไม่ใช่ใช้มันเป็นเพียงที่แปะ Resume อย่างนั้นคุณใช้เว็บหางานทั่วไปก็ได้ครับ แต่สำหรับ LinkedIn คุณใช้มันทำอะไรได้หลากหลาย แต่ก้าวแรกต้องเริ่มจากการพยายามสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษก่อน ถ้าคุณกลัวว่าจะใช้ภาษาผิด ไม่ต้องกลัวครับคนต่างชาติถ้าอยากจะคุยกับเราจริงต้องพยายามทำความเข้าใจเรา แต่อย่างไรถ้ามีเวลาเราก็ต้องพยายามเขียนให้ถูกด้วยนะครับ :D 

4. Upgrade Account ของคุณด้วยการยอมจ่ายเงิน LinkedIn บ้างถ้าลองสังเกตไอค่อนเล็กๆ ข้างโปรไฟล์ของผู้ใช้ LinkedIn บางคนคุณจะเจอไอค่อนสีทอง อันนั้นคือไอค่อนที่ระบุว่าสมาชิก LinkedIn คนนั้นใช้ Business Account โดยยอมจ่ายค่าสมาชิกเดือนละ 30-100 เหรียญ โดยคุณจะได้รับประโยชน์อย่างเช่น ส่งอีเมลหาคนที่ไม่ได้อยู่ใน Contact ของคุณได้โดยตรง และทาง LinkedIn การันตีว่าจะได้รับการตอบกลับแน่นอน นอกจากนี้ยังมีการเพิ่มความสามารถในการคอยตรวจดูว่าใครมาดูโปรไฟล์ของคุณบ้าง อย่างปกติดูได้จำกัดไม่กี่คน แต่ถ้าคุณอัพเกรดคุณก็รู้หมดว่าใครเข้ามาดูบ้าง ซึ่งตรงนี้จะช่วยให้เรารู้ได้ว่าตอนนี้คนในแวดวงไหนที่อ่านและดูโปรไฟล์ของคุณบ้าง ส่วนตัวแล้วผมได้รับประโยชน์จากการ Upgrade Account หลายอย่างครับ ทำให้มีคนติดต่อเข้ามามากขึ้น และส่วนตัวก็ติดต่อชาวต่างประเทศในด้านเดียวกันได้ง่ายมากๆ แม้จะไม่มี Connection ระหว่างกัน

5. เข้าร่วมกลุ่มความสนใจต่างๆ
LinkeIn ไม่ใช่เว็บไซต์หางานอย่างเดียว แต่มันเป็น Social Media ที่เปิดให้เราบริหารความสัมพันธ์ทางธุรกิจได้ วิธีการเริ่มต้นง่ายๆ ก็คือ กลุ่มความสนใจต่างๆ ของสมาชิก LinkedIn ครับ กลุ่มหลักๆ จะแบ่งออกเป็น 2 อย่างครับ แบบแรกคือ “แบบองค์กร” อย่างผมเองเคยทํางานที่ Yahoo! ผมก็จะเข้าไปร่วมในกลุ่มของ “ศิษย์เก่าและศิษย์ปัจจุบัน Yahoos” ซึ่งข้างในกลุ่มนี้ก็จะมีคนที่เคย/กําลัง ทํางานอยู่ใน Yahoo! เข้าไปคุยกันอยู่ในนั้น ใครย้ายไปประเทศอะไร อยู่ที่ไหนก็ตามกันได้ ใครมีงานใหม่ๆ มาประกาศกัน มีแม้กระทั่ง อดีตฝ่ายบุคคลมาตามหาคนไปทํางานก็มี
แบบต่อมาก็คือแบบ “กลุ่มความสนใจ” อันนี้แบ่งกันตามสะดวก เช่นวันดีคืนดีอาจจะมีคนมาชวนคุณมาเข้าร่วม “กลุ่มนักการ ตลาดออนไลน์แห่งประเทศไทย” หรือ “กลุ่มนักพัฒนาโอเพ่นซอร์ส” และถ้าไม่มีกลุ่มไหนตรงกับความต้องการหรือความสนใจเราเลย จะตั้งกลุ่มเองก็ไม่ผิดกติกาครับ การตั้งกลุ่มที่เป็นกลุ่มเฉพาะในความสนใจของเราเองจะทําให้เราได้สนทนาภาษาเดียวกันกับคนที่ทํางานในสายเดียวกับเราได้แลกเปลี่ยนความรู้กับคนอื่นๆ มีแต่ได้กับได้ครับ เราเพียงแต่ต้องคอยจัดการกลุ่มหรือดูแลชุมชนของเราให้ดี





กระแสการใช้เฟซบุ๊ค (Facebook) เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีจำนวนผู้ใช้ (account)เติบโตโดยตลอด สถิติจากwebsite www.facebakers.com มีคนไทยที่ลงทะเบียนแล้ว 5,744,060 คน แบ่งเป็นผู้ชาย 45% และผู้หญิง 55% ผู้ใช้บริการส่วนใหญ่คือวัยอุดมศึกษาหรือวัยเริ่มต้นทำงาน (18-24 ปี) ประมาณ 37% ของกลุ่มผู้ใช้บริการทั้งหมด และวัยทำงาน (อายุ 25-34 ปี) ประมาณ 32% ซึ่งสรุปได้ว่า 69% คือกลุ่มที่กำลังสร้างเนื้อสร้างตัว และใช้ Facebook แสดงความเป็นตัวตนของตัวเองให้กับสื่อที่กระจายไปอย่างไม่มีขอบเขต แม้ว่าFacebookจะมีการตั้งค่าความเป็นส่วนตัว (Privacy) แล้วก็ตาม ซึ่งในต่างประเทศ เช่นในประเทศสหรัฐอเมริกาหลายบริษัทเมื่อจะรับคนเข้าทำงานก็จะตรวจสอบพฤติกรรมต่างๆ ของผู้สมัคร โดยเข้าไปดูใน Facebook ของผู้สมัครนั้นด้วย รูปถ่ายที่ประหลาด กิจกรรมที่หลากหลาย คำหรือประโยคที่ใช้โพสข้อความ ล้วนสื่อถึงความคิดและการกระทำของผู้สมัครได้

นอกเหนือจากการปรับวิธีการใช้เฟซบุ็ค Facebook ให้เหมาะสมแล้ว ถ้าคุณคิดจะได้งานที่ดี หรือต้องการเติบโตในสายอาชีพอย่างเหมาะสมและถูกทางแล้ว ยังมี Social media ที่เน้นสำหรับมืออาชีพ (Professional) โดยเฉพาะ นั่นคือLinkedin

มีสถิติศึกษาโดย Nielsen Claritas เมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว (2552) สรุปว่า 35% ของผู้ใช้บริการ Linkedin สามารถสร้างรายได้เพิ่มขึ้นมากกว่า 100,000 ดอลล่าร์สหรัฐฯ (หรือประมาณ 3 ล้านบาท) ในขณะที่ผู้ใช้บริการ Facebook 20% สามารถสร้างรายได้ในระดับเดียวกัน ทั้งๆที่สมาชิก Facebook มีมากกว่าสมาชิก Linkedin หลายเท่า

Linkedin ไม่ใช่เพียงเวปแสดงประวัติการทำงานหรือประสบการณ์ (Resume) เพื่อหางานเท่านั้น แต่ยังเป็นแหล่งข้อมูล และเครือข่ายอีกมากมาย รวมทั้งต่อยอดธุรกิจไปทั่วโลกด้วย จำนวนผู้ใช้ตอนนี้มีกว่า 70 ล้านคนทั่วโลก ซึ่งสมาชิกส่วนใหญ่คือผู้บริหารระดับกลางและสูง มาจากบริษัทระดับชาติหลายแห่ง ดังนั้นจึงไม่ใช่การหางานเท่านั้น แต่คือแหล่งแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และวิธีการทำงานให้ประสบความสำเร็จในสายอาชีพเดียวกัน ยกตัวอย่างกลุ่มที่ผมเป็นสมาชิกอยู่ได้แก่ Finance Industry Professional Worldwide กลุ่มคนที่ทำงานหรือสนใจในสายงานด้านการเงิน มีสมาชิกตอนนี้ 26,981 คน จะมีข้อความแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับการเงินทั่วโลก และ กลุ่มThailand Connection ราชอาณาจักรไทย มีสมาชิกตอนนี้ 4,340 คน มีผู้บริหารสายงานอาชีพต่างๆ ในประเทศไทย (มีทั้งคนไทยและคนต่างชาติ) พูดคุยเกี่ยวกับการทำงานในประเทศไทย

ผมเองก็มี Facebook แต่ว่า Linkedin ช่วยสร้างเครดิตให้การทำงานของผมมากกว่า เพราะลูกค้าของผมเป็นบริษัทต่างชาติด้วย ซึ่งเคยมีบริษัทต่างชาติโทรมาสัมภาษณ์งาน เพราะสนใจใน Profile ของผมใน Linkedin และมี email จากผู้บริหารในหลายประเทศที่สนใจจะมาลงทุนในประเทศไทยติดต่อเข้ามาหลายครั้ง

ผมได้แนบตัวอย่างหน้า Profile Linkedin ของผมให้ดูกันนะครับ หรือไปดูเพิ่มเติมได้ที่

http://th.linkedin.com/in/sethaphong หรือค้นหา Sethaphong ผ่านทาง Google จะพบว่าเวปProfile ของ Linkedin ของผมจะติดอันดับต้นๆ เลย

Delicious คืออะไร






1.Delicious คืออะไร                                                                                                            

       Delicious คือ ออนไลน์บุคมาค ที่เราสามารถเก็บบุคมาคของเว็บแล้วนำมาแชกับคนอื่นๆได้

2.ข้อดีของ Delicious

       สามารถบุคมาคเว็บไซต์ที่น่าสนใจไว้แชกับผู้อื่นได้


3.Delicious มีประโยขน์ต่อผู้ใช้และสังคมคือ

       Delicious สามารถใช้สำรวจความนิยมของเว็บไซต์นั้นๆได้ซึ่งทำให้เป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้และยังมีประโยชน์ต่อผู้อื่นคือสามรถแบ่งปันเว็บไซต์ที่น่าสนใจกับผู้อื่นและให้ผู้อื่นสามรถดูความนิยมของเว็บไซต์นั้นๆได้อีกด้วย


4.วีธีใช้ Delicious  

       ขั้นตอนแรกเลยเราต้องเข้าไปสมัคร yahoomail ก่อนโดยเข้าที่เว็บ  http://www.delicious.com/ แล้วเราก็ทำการสมัครให้เรียบร้อย ต่อมา เราก็เข้าไปที่ http://www.delicious.com/ แล้วจัดการลงชื่อเข้าใช้ให้เรียบร้อย  
       แล้วก็มาถึงขั้นตอนการ Add Bookmark กดเข้าที่ Bookmark แล้วจัดการกด Save a new bookmark บริเวรทางขวา แล้วเราก็เอา url ของเว็บที่เราต้องการบุคมาคแล้วจัดการ copy  url
เว็บที่เราต้องการมาใส่แล้วกด add แล้วเราก็กด save ก็เป็นอันเรียนบร้อย



ตัวอย่าง http://www.delicious.com/holoholo_002/?page=1

รายชื่อบางส่วนของเว็บไดเรคทอรี่



รายชื่อบางส่วนของเว็บไดเรคทอรี่

 ที่เราสามารถฝาก link ของเว็บเราได้ครับ
การทำ SEO ต้องขยันแบ่งงานนะครับ อย่าโหมมากเดี๋ยวจะเสียสุขภาพ
bcoms.net
deedeejang.com
http://www.seoweb.in.th
ส่วนนี่เป็นของเว็บพี่ manacomputers.com เขาแนะนำไว้

การสมัคร paypal บัตรเครดิต


ขั้นตอนการสมัคร PayPal

 เพื่อรับการชำระเงินผ่านบัตรเครดิต


ร้านค้าหรือผู้ประกอบการบนอินเทอร์เน็ทจะได้ประโยชน์มากมายจากการรับชำระเงิน Online ผ่านบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิต แต่ในปัจจุบัน การเชื่อมต่อร้านค้าเข้ากับธนาคารโดยตรงยังไม่ค่อยสะดวกเท่าที่ควร ไม่ต้องเป็นห่วงครับ BentoWeb ช่วยให้คุณข้ามขั้นตอนที่ยุ่งยากเหล่านั้นได้ ระบบของเราเชื่อมต่อกับระบบของ PayPal เพื่อให้ผู้ประกอบการทุกคนสามารถรับการชำระเงินผ่านบัตรเครดิตได้โดยไม่ยุ่งยาก ในบทความนี้ผมอยากจะขอแนะนำ PayPal และขั้นตอนการสมัครเปิดใช้งาน PayPal ครับ


หากท่านผู้ประกอบการท่านใดมี PayPal อยู่แล้ว ท่านจำเป็นที่จะต้อง

ทำความรู้จัก PayPal


PayPal (https://www.paypal.com/th) คือ ตัวกลางในการรับชำระเงิน Online ระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายที่ได้รับความน่าเชื่อถือที่สุดตัวหนึ่งของโลก  มันจะช่วยให้คุณรับบัตรเครดิตได้โดยไม่ต้องเสียเวลาไปกับการเตรียมเอกสารและเดินเรื่องกับธนาคาร หลักการในการใช้ PayPal ในการรับชำระเงินจะเป็นด้งต่อไปนี้:
  1. ลูกค้าของคุณ ไม่จำเป็นต้องมี บัญชี PayPal ก็สามารถใช้บัตรเครดิตหรือเดบิตในการชำระเงินค่าสินค้าในร้านของคุณได้ เพียงแค่กรอกข้อมูลบัตรเครดิตเหมือนกับเวลาจ่ายเงินซื้อของ Online ทั่วไป
  2. เงินที่ได้รับจากลูกค้าจะเข้าไปอยู่ในบัญชี PayPal ของคุณ
  3. และเมื่อคุณต้องการถอนเงินจากบัญชี PayPal, คุณสามารถโอนเงินเหล่านั้น เข้าบัญชีธนาคารที่คุณระบุไว้ในระบบของ PayPal ได้
คุณไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ ในการสมัครใช้บริการ แต่ PayPal จะหักค่าคอมมิชชั่นส่วนหนึ่งจากเงินที่ลูกค้าทำการจ่ายเงินผ่านระบบ คุณสามารถดูข้อมูลและเรียนรู้เกี่ยวกับระบบเพิ่มเติมได้ที่www.paypal.com/th
มีอยู่ 3 ขั้นตอนที่คุณจำเป็นต้องทำในการเปิดบัญชีกับ PayPal คือ 1) สมัครเปิดบัญชี, 2) ยืนยันที่อยู่อีเมล, และ 3) ขอรับการยืนยันตัวตนโดยระบุบัญชีธนาคารหรือข้อมูลบัตรเครดิต

ร่วมเป็นสมาชิก Blogseothai คุณคือตัวจริง !