ทำอันดับเว็บให้ดียิ่งขึ้นกับ Google

หากคิดว่าจะทำให้อันดับดีๆในกูเกิ้ล



 ผมแนะนำดังต่อไปนี้

- เนื้อหาเขียนเองมีความทันสมัย
- ใช้เครื่องมือในเครือกูเกิ้ลลงในเว็บ เช่น แผนที่ ยูทูป ฯลฯ เป็นต้น
- เนื้อหาทันสมัย ตามข่าวสาร สถาณการณ์ปัจจุบัน
- ติดปุ่ม Plus1 http://www.google.com/webmasters/+1/button/ 
ในเว็บ (ถ้าผู้เข้าชมเว็บเรากดเยอะๆอันดับก็จะดีขึ้น)
- ซับมิท Social Bookmark ที่ PR สูงๆ ไม่จำเป็นต้องเยอะ
- เว็บ Pligg ไม่จำเป็นให้ผลน้อย
- มีลิงค์อยู่ใน Google Plus

สำหรับการทำ SEO 2012 นะครับ คือการมีลิงค์ใน Social media เยอะๆเช่น Twitter Facebook Google plus เป็นต้น เพราะมันบ่งบอกว่า เว็บเรานั้นเป็นที่นิยมของผู้ใช้งาน

สรุป SEO สั้นๆ


สรุป SEO 

1. เขียนบทความเสร็จ submit กับ digg ทันที
2. แชร์ผ่าน google+ คนเข้าเว็บ ตามมาดูบทความที่แชร์ เร็วมาก
3. แชร์ผ่าน facebook (แฟนเพจ) twitter ได้แบ็คลิ้งค์
4. เว็บบอร์ดไหน โพสบ่อยๆ ใช้ประจำ pr ดี เนื้อหาใช่ "ติดลายเซ็น" url เว็บ เลือก meta ให้น่าคลิ๊ก และเกี่ยวกับ url
5. หาความรู้ seo ในเว็บ . บล็อก . บอร์ด ต่างประเทศบ่อยๆ เพราะเขาทำ seo ยากกว่าเรา (Eng แข่งเกือบทั่วโลก Th แข่งไทย)
6. ฝึก Eng อ่านไม่ออก google ช่วยได้ (เพื่อใช้ประโยชน์ในข้อ 5.)
7. หาแบ็คลิ้งค์จากโดเมนเนมมีอายุ 10+ ปี อย่างน้อย 5 โดเมนเนม
8. youtube อัพ vdo .ใส่แท็ก .urlใต้วิดีโอ ทิ้งไว้
9. หา Blacklink จาก .edu .gov ให้ได้มากที่สุด
10.ทำเว็บ 70% ทำ seo 30%
11.อย่าลืมตัวตายตัวแทน (เว็บจำลองที่ลงหลุมแทนเว็บจริง)
12.hosting ไม่ดีมีผลต่อ PR
13.เขียนผิด มีผลต่อ index
14.keyword ในหัวข้อ และ 2% ในเนื้อหา
15.Sitemap บ้างก็ดี

อเมซอน มือใหม่


มาอีกแล้วครับ สำหรับวันนี้กับมือใหม่ อเมซอน เห็นหลายต่อหลายคน ที่จะก้าวมาเป็นเซลขายอเมซอน แต่ว่ายังไม่รู้จะเริ่มอย่างไร วันนี้ผมจะมาพูดถึงเรื่องของ หลักการทำงานทั้งหมดคร่าวๆ ที่จำเป็นจะต้องรู้ และทำความเข้าใจ เกี่ยวกับการเดินสายขาย อเมซอน อาจจะเป็น คู่มือAmazon ก่อนการเริ่มตัดสินใจ ขายอเมซอน ก่อนอื่นขอแนะนำก่อนว่า Amazon เป็นเว็บไซต์ ที่ขายสินค้าออนไลน์ และมีการแบ่งค่าคอมมิชชั่น ให้กับคนที่นำของในอเมซอนไปขาย ผ่านชื่อไอดีตัวเอง ทำให้มีหลายคน ทำการแนะนำสินค้า Amazon เพื่อหารรายได้จากค่าคอมมิชชั่นตรงนี้ เรามาเริ่มพูดเลยดีกว่าครับ ว่าอย่างแรกที่เราจะต้องทำ และกระบวนการขายทั้งหมด โดนสรุปคร่าวๆกัน1. ถ้าจะขายอเมซอนนั้นจะต้องคิดก่อนครับว่าจะขายอะไร ทำอเมซอนเป็น road map แจกแจงให้เห็นชัด ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เราต้องคิดหน่อยนะครับ เพราะต้องให้สอดคล้องกับช่องทางที่จะขายด้วย คู่แข่งในสินค้าที่เราจะขายมีมากแค่ไหน

2. เลือกการออกแบบเวปไซต์ ว่าจะขายอเมซอนนั้นจะออกแบบเว็บอย่างไร ใช้สคิปอะไรดี จะใช้บลอกฟรี หรือ จดโดเมนเอา ถ้าจะทำเป็นงานเลยก็ต้องจดโดเมนเอาครับ โฮสติ้งก็ควรจะตั้งอยู่ในที่ๆเราจะขาย โดเมนก็ควรเป็นชื่อที่สอดคล้องกับสินค้าที่จะขาย
3. ช่องทางการขาย อันนี้ก็สำคัยครับ ว่าจะเลือกช่องทางให้ลูกค้าเข้ามาเลือกซื้อจากไหน เช่น adword SEO Social network หรือช่องทางไหนที่จะทำให้ลูกค้าเข้าเว็บเราให้มากที่สุด
4. สรุปงานหลังทำเสร็จทุกครั้ง และต้องพัฒนาอยู่ตลอดเวลา รวมถึงการเพิ่มจำนวนเว็บไซต์ เพื่อให้รายได้สูงขึ้น เพราะถ้าทำแค่เว้บเดียวยังไง ก้ไม่ประสบความสำเร็จครับ และควรคำนึงถึงการทำงานด้วย ว่าเราเองทำงานเป็นระบบใหม
ทั้งหมดคร่าวๆ ก็มีเท่านี้ครับ ถ้าใครที่จะเลือกเดินสายนี้ ต้องได้ทำใน 4 หัวข้อนี่แน่นอน ใครคิดจะเดินทางเส้นนี้ คิดให้ดีครับ ว่ายากก็ยาก ว่าง่ายก็ง่าย แต่ถ้าเราเองจะศึกษาควรหาหนังสือมาอ่านเพิ่มเติม หรือไม่ก็ลงทุนเข้ารับการเรียน คอร์สอเมซอนครับ แอบโปรโมทหน่อยละกัน

Black Friday Amazon


 Amazon Black Friday

          
         ใกล้เทศกาลการ Shopping เข้ามาทุกทีนั่นคือ Black Friday และ Cyber Monday ที่ใครๆ หลายคนตั้งตารอเพื่อเตรียมตัวโกยเงินกันอย่างสนุกสนาน ผมเองก็ไม่พลาดอยู่แล้ว ซึ่งปีนี้ผมเองได้เตรียมตัวไว้เป็นอย่างดี หลังจากปีที่แล้ว “พลาด” อย่างแรงในการวางแผน ซึ่งทุกแผนผมทำงานไม่เสร็จ และไม่ได้ตามเป้าที่ตั้งไว้ แต่ยังดีที่ยังพอทำเงินกับมันได้บ้าง เรียกได้ว่าไม่น่าเกียจ แต่ไม่หรูหรา ส่วนหนึ่งของความผิดพลาดเมื่อปีที่แล้วคือ “ทำหลายอย่างเกินไป” หลายวิธีเกินไป จน “ทำไม่เต็มที่ซักทาง” สุดท้ายก็ต้องยอมจำนนเพราะว่า ต้องหันไปใช้วิธีอัดแหลก จนต้องโดนหมายหัวจนได้ รู้ทั้งรู้ว่ามันจะโดน แต่ด้วยความที่ “โลภมาก” ไปหน่อย ใช้หลากหลายวิธี จนมันตีกัน ทำให้งานไม่เสร็จ ขาดๆ เกินๆ ทุกชิ้น ปีนี้เลยจะแก้ตัวใหม่ ด้วยการวางแผนไว้อย่างดีไม่ออกนอกลู่นอกทาง ไม่จับปลาหลายมือ
จากสถิติตัวเองที่เข้าร่วมวงแบบเต็มตัวมาสองครั้ง จับทางได้เลยว่าไม่ว่า Search Engine ตัวไหนในช่วงนั้น เขาจะเล่นเกมส์กับคุณอย่างแน่นอน ทั้งกวดล้าง ปรับ Algorithm ฯลฯ สารพัดแหละครับที่คุณรจะโดนเล่นงานช่วงนั้น และสถิติที่น่าสนใจ (ส่วนตัว) คือ Cyber Monday ขายดีกว่า Black Friday เสียอีก ด้วยจำนวน Order ที่เท่าๆ กัน แต่จำนวนวันนั้น Cyber Monday แค่วันเดียวพอๆ กับ Black Friday ทั้ง 3 วัน มาดูสถิติจากเว็บไซต์นึงที่ผมทำเมื่อปีที่แล้ว ทั้ง Black Friday และ Cyber Monday
Amazon Black Friday ข้อมูลน่าสนใจของ Black Friday และ Cyber Monday
นี่คือสถิติจากเว็บไซต์อันหนึ่งของผมเป็นจำนวน Clicks, Unique Visitor จำนวน Order ทั้งหมด 3 วันคือวันศุกร์ เสาร์ และก็อาทิตย์ ซึ่งเป็นช่วงเทศกาล Black Friday
Amazon Cyber Monday ข้อมูลน่าสนใจของ Black Friday และ Cyber Monday
และนี่เป็นอีกเว็บนึงที่เป็นโดเมนเกี่ยวกับ Cyber Monday Order จากวันเดียวคือวันจันทร์ที่ 28 เว็บนี้ผมได้ 100 Order!
เรามาแยกเรื่อง Black Friday และ Cyber Monday กันก่อนครับ เริ่มด้วยเทศกาล Black Friday ซึ่งเป็นเทศกาลที่ ห้าง ร้านค้า ร้านรวง ต่างๆ พากันลดกระหน่ำ กันมากกว่า 50% สินค้าทุกชนิดลดราคากันเป็นว่าเล่น ในร้าน “ค้าปลีก” ต่างๆ ถ้าบ้านเราก็จะเป็นพวก เซนทรัล, บิ๊กซี, โลตัส นี่แหละครับ คือพวกร้านค้าจริงๆ ที่เราจะเดินเข้าไปซื้อได้ ซึ่ง Black Friday ร้านเหล่านี้จะเต็มไปด้วยเหล่านักช็อปที่มาตั้งเต้นท์รอกันแต่เช้าเพื่อแย่งกันซื้อของ ซึ่งจริงๆ แล้วมันเป็นช่วงลดกระหน่ำของร้านค้าปลีก Offline ต่างๆ แต่ปัจจุบัน ร้านค้าปลีก Online ก็ลงมาเล่นกับเขา ด้วยแต่ที่ยังน่าสงสัยคือ ในความรู้สึกของคนมะกันจริงๆ เขายังหลงไหลในการช้อปปิ้งแบบร้านค้า Offline อยู่หรือเปล่า เพราะที่มันเป็นวันศุกร์ เสาร์ ทิตย์ เพื่อว่าคนทำงานจะได้มีเวลาช่วงสุดสัปดาห์ ได้ช้อปปิ้งกับครอบครัว คนรัก เพื่อนๆ ได้อย่างสะดวก
gap oldnavy cyber monday 300x189 ข้อมูลน่าสนใจของ Black Friday และ Cyber Mondayส่วน Cyber Monday จะเป็นช่วงวันจันทร์ต่อจากวัน Black Friday ซี่ง Cyber Monday คือการที่ร้านค้า E-Commerce ต่างๆ เช่น Amazon, Best Buy, Tiger Direct ฯลฯ ร่วมใจกันลดกระหน่ำอีกเช่นกัน เพื่อเอาใจคนรักการช้อปปิ้งแบบออนไลน์ ได้จับจ่ายซื้อหาของที่ตัวเองอยากได้ และรวมทั้งคนที่พลาด, คนที่ขี้เกียจไปเบียดแย่งการหาซื้อสินค้าจากร้าน Offline สามารถหาซื้อได้จากร้านค้า Online ที่ทั้งส่งฟรี, ซื้อง่าย ไม่ต้องออกไปยืนรอต่อแถวให้เมื่อยตัว
ซึ่งดูแล้วการ Cyber Monday ดูเหมือนจะเหมาะกับพวกเราเหล่า Affiliate Marketer มากกว่า Black Friday เสียอีก ซึ่งช่องว่างของคีย์ Cyber Monday สองปีที่ผ่านมา ยังมีคนทำน้อย ถึงน้อยมาก เพราะทุกคนแย่งกันไปทำคีย์ Black Friday กันเสียหมด และสถิติทั้งสองปีที่ผ่านมา มันฟ้องว่า Cyber Monday สำหรับผมขายดีกว่า Black Friday ทั้งสามวันเสียอีก นั่นอาจเป็นเพราะ จริงๆ แล้วถึงแม้ร้านค้าออนไลน์ต่างๆ จะจัดเทศกาล Black Friday เหมือนกันแต่ผู้บริโภค ก็ยังติดกับการช้อปปิ้งแบบแย่งกันซื้อ ยืนต่อแถวกันยาวๆ และอาจมีความเป็นไปได้ที่ผู้คนเหล่านั้นยังไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วร้านค้าออนไลน์ก็ลดกระหน่ำเหมือนกัน ในฐานะเราเป็น Affiliate Marketer เรารู้เพราะมันเป็นงานที่เราต้องทำ แต่อย่าเหมารวมว่าเหล่าผู้บริโภคเหล่านั้นจะต้องรู้เหมือนเรา เค้าอาจไม่รู้ก็เป็นได้ แต่ที่เค้ารู้แน่ๆ คือ Cyber Monday คือการช้อปปิ้งออนไลน์ ร้านค้าอย่าง Amazon, Best Buy, Tiger Direct ฯลฯ จะต้องลดราคา
บางทีเราอาจโฟกัสผิดจุด (คห. ส่วนตัวนะครับ) ซึ่งบางท่านอาจขายได้ดีในช่วง Black Friday ก็ได้ แต่ส่วนตัวผม จากรูปข้างบนก็แสดงให้เห็นแล้วว่า Cyber Monday วันเดียวขายได้พอๆ กับ Black Friday 3 วันเลยทีเดียว ผมมีข้อมูลในปีที่แล้วมาให้ดูเล็กน้อย จาก ComScore ดังนี้
ComScore ได้รายงานว่าในช่วง Holiday Shopping Season ในร้านค้าปลีกออนไลน์ (E-Commerce) ต่างๆ ในปี 2011 มีการใช้่จ่ายในการซื้อของออนไลน์เพิ่มขึ้น 15% จากปี 2010 และ Cyber Monday วันเดียวมียอดการใช้จ่ายสูงที่สุดถึง $1,251 ล้านเหรียญ ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปี 2010 ถึง 22% ซึ่งผลสำรวจจาก ComScore การช้อปปิ้งออนไลน์ของเทศกาลต่างๆ ในปี 2010 และปี 2011
  • November 1 – December 2 : ปี 2010 ยอดการใช้จ่ายอยู่ที่ $16,257 ล้านเหรียญ และในปี 2011 ยอดการใช้จ่ายอยู่ที่ $18,697 ล้านเหรียญ เพิ่มขึ้น 15%
  • Thanksgiving Day (Nov. 24) : ปี 2010 ยอดการใช้จ่ายอยู่ที่ $407 ล้านเหรียญ และในปี 2011 ยอดการใช้จ่ายอยู่ที่ $479 ล้านเหรียญ เพิ่มขึ้น 18%
  • Black Friday (Nov. 25) : ปี 2010 ยอดการใช้จ่ายอยู่ที่ $648 ล้านเหรียญ และในปี 2011 ยอดการใช้จ่ายอยู่ที่ $816 ล้านเหรียญ เพิ่มขึ้น 26%
  • Thanksgiving Weekend (Nov. 26-27) : ปี 2010 ยอดการใช้จ่ายอยู่ที่ $886 ล้านเหรียญ และในปี 2011 ยอดการใช้จ่ายอยู่ที่ $1,031 ล้านเหรียญ เพิ่มขึ้น 16%
  • Cyber Monday (Nov. 28) : ปี 2010 ยอดการใช้จ่ายอยู่ที่ $1,028 ล้านเหรียญ และในปี 2011 ยอดการใช้จ่ายอยู่ที่ $1,251 ล้านเหรียญ เพิ่มขึ้น 22%
  • Week Ending Dec. 2 : ปี 2010 ยอดการใช้จ่ายอยู่ที่ $5,164 ล้านเหรียญ และในปี 2011 ยอดการใช้จ่ายอยู่ที่ $5,959 ล้านเหรียญ เพิ่มขึ้น 15%
จะเห็นได้ว่าถึงแม้ยอดการใช้จ่ายของ Black Friday จะมี % เพิ่มมากขึ้น 26% แต่ Cyber Monday ยังมียอดจำนวนเงินที่มากกว่าอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งนั่นก็แสดงว่าการช้อปปิ้งออนไลน์ Cyber Monday ก็ยังน่าสนใจกว่า Black Friday อยู่พอสมควร แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่สนใจ Black Friday นะครับ แต่ผมกำลังจะบอกว่า Cyber Monday ที่ไม่ค่อยมีใครพูดถึงนัก มันน่าลงไปเล่นและลงทุนมากกว่า Black Friday หรือไม่ ซึ่งคุณเป็นคนตัดสินใจเอง ส่วนตัวผมก็เล่นทั้งสองนั้นแหละ ฮ่ะๆๆ แต่จะลงทุนเม็ดเงินกับ Cyber Monday มากกว่าแค่นั้นเองครับ
แต่จาก list ข้างบนมีอะไรน่าสนใจอยู่อีกหนึ่งอย่างคือ Week Ending Dec 2 ซึ่งการใช้จ่ายในโลกออนไลน์อยู่ในระดับ $5,164 ล้านเหรียญ คือหลังจากช่วง Cyber Monday ไปแล้วก็ยังมีการซื้อขายกันอย่างหนักหน่วงอยู่ ซึ่งมันมีเทศกาลอะไรบ้างหละ ซึ่ง 10 อันดับวันช้อปปิ้งออนไลน์จาก ComScore มีดังนี้
  1. Cyber Monday : $1,251 ล้านเหรียญ
  2. Monday, Dec. 5 : $1,178 ล้านเหรียญ
  3. Monday, Dec. 12 (Green Monday) : $1,133 ล้านเหรียญ
  4. Tuesday, Nov. 29 : $1,116 ล้านเหรียญ
  5. Tuesday, Dec. 6 : $1,107 ล้านเหรียญ
  6. Friday, Dec. 16 (Free Shipping Day) : $1,072 ล้านเหรียญ
  7. Tuesday, Dec. 13 : $1,064 ล้านเหรียญ
  8. Wednesday, Nov. 30 : $1,025 ล้านเหรียญ
  9. Thursday, Dec. 8 : $1,024 ล้านเหรียญ
  10. Thursday, Dec. 15 :  $1,018 ล้านเหรียญ
green monday ข้อมูลน่าสนใจของ Black Friday และ Cyber Monday
ซึ่งจะเห็นได้ชัดว่าอันดับ 2-10 เป็นช่วงหลังจาก Cyber Monday ทั้งนั้นเลยครับ ^^ และที่สำคัญวันต่างๆ เหล่านี้ทุกอัน มียอดใช้จ่ายมากกว่า Black Friday เสียอีก น่าคิดไหมครับ ว่าจริงๆ แล้ว Black Friday มันเป็นเทศกาลช้อปปิ้งตามร้านค้า Offline ต่างๆ มากกว่าหรือไม่? และอีกอย่างคุณเคยคุ้นกับคำว่า Green Monday และ Free Shipping Day หรือไม่? คุณต้องทำการบ้านให้หนัก อย่าเฮโลตามกันไป เค้าทำอะไรก็ตามก้นกันไป ให้ค้นหาข้อมูลจากหลายๆ แห่งรวมกันให้มาก ซึ่งประสบการณ์สองครั้งที่ผ่านมา ผมบอกได้เลยว่า Black Friday ทำเงินน้อยกว่า Cyber Monday มากนัก (ในสถิติของผม) เพราะฉะนั้น คุณควรหาข้อมูลให้แน่น และตัดสินใจให้ดี ว่าควรจะลงทุนกับคีย์ไหน Black Friday, Cyber Monday, Green Monday, Free Shipping Day
ข้อมูลสำคัญเพิ่มเติมเกี่ยวกับการซื้อของออนไลน์ในช่วง Holiday Season ที่ ComScore ได้ไป Survey มาจากคนใน US ด้วยคำถามที่ว่า “เมื่อคุณตัดสินใจจะซื้อของออนไลน์ในช่วง Holiday Season การส่งของแบบฟรี (Free Shipping) มันสำคัญในการตัดสินใจซื้อของ ของคุณหรือไม่?” ผลการ Survey ออกมาดังนี้
  • 36% ตอบว่า สินค้าที่ Free Shipping สำคัญมาก ถ้าสินค้าไหนไม่ Free Shipping พวกฉันจะตัดสินใจไม่ซื้อมัน
  • 42% ตอบว่า สินค้าที่ Free Shipping ค่อนข้างสำคัญ และฉันจะหาสินค้าที่มัน Free Shipping มากกว่าไม่ Free Shipping
  • 12% ตอบว่า มีก็ได้ไม่มีก็ได้ แต่ฉันจะหามันก่อน แต่ก็ไม่สำคัญเท่าไหร่
  • 1% ตอบว่า ไม่สำคัญ จะ Free Shipping หรือไม่ไม่มีผลในการตัดสินใจซื้อสินค้าของฉัน
  • 2% ตอบว่า ไม่สำคัญเลย ฉันไม่คำนึงถึงเรื่อง Free Shipping หรือไม่ฉันซื้อเพราะอยากซื้อ
  • 6% ตอบว่า ไม่รู้เหมือนกันไม่แน่ใจ – -”
จากผลสำรวจ สินค้าที่ Free Shipping ใน Online Store ค่อนข้างมีผลในการตัดสินใจซื้อสินค้าเป็นอย่างมาก (แต่ส่วนมาก Online Stores จะ Free Shipping อยู่แล้ว) เพราะฉะนั้นเลือกสินค้าที่ Free Shipping ไว้จะได้เปรียบกว่า และน่าแปลกใจคือ 6% ไม่รู้ไม่แน่ใจ เวรกรรมจริงๆ ฮ่ะๆ

ส่วนวันต่างๆ ในปีนี้ได้มีดังนี้

  • Thanksgiving คือวันพฤหัสบดีที่ 22 พฤศจิกายน 2012
  • Black Friday คือวันศุกร์ที่ 23 พฤศจิกายน 2012
  • Cyber Monday คือวันจันทร์ที่ 26 พฤศจิกายน 2012
  • Green Monday คือวันวันทร์ที่ 2 ของเดือนธันวาคม
ฝากไว้แค่นี้นะครับ สำหรับข้อมูลที่ผมหามาให้ ส่วนการตัดสินใจอยู่ที่คุณ ว่าคุณจะลงทุนกับคีย์ไหนมากกว่ากัน บางคนบอกก็ทำมันทั้งสองคีย์เลย ก็ไม่ผิดถ้าคุณทำได้ โดยที่คุณไม่ยุ่งเกินไป และลงทุนเยอะเกินไป แต่ใครทุนน้อยก็เลือกซักทางนึง จะเป็น Black Friday, Cyber Monday, Green Monday, Free Shipping Day หรือแม้แต่ Christmas  ตัดสินใจให้ดี ขอให้ร่ำรวยในช่วงปลายปีนะครับ ^^


Read more: http://www.ksrrider.com/holiday-shopping-season-data/#ixzz2AHCxIUpf

การหา keywords



คีย์เวิร์ด (keywords) ถือว่าเป็นกุญแจสำคัญในการที่จะบอกว่า เราจะรุ่ง หรือจะร่วง กับการทำ Internet marketing ไม่ว่าจะทำ AdSense , Affiliate, Amazon หรือแนวอื่น ๆ ที่ขึ้นตรงต่อ Search Engine ฉนั้นควรเลือก Keywords ให้เหมาะสม ก่อนลงสนามแข่งขัน

ในทางปฏิบัติมีวิธีการมากมายที่จะได้มาซึ่ง Keywords ที่ดี ไม่ว่าจะเป็นบริการหา Keywords จากผู้ให้บริการต่าง ๆ ทั้งเสียเงิน และฟรี หรือซอฟแวร์ช่วยหา Keywords ที่มีทั้งฟรีและเสียเงินเช่นกัน แต่คงไม่มีใครปฏิเสธว่า ถ้าหา Keywords ดี ๆ ได้และฟรีด้วยจะดีที่สุด (Keywords ดี ๆ จะเรียกกันว่า Niche Keywords ออกเสียง "นิช คีเวิด" ซึ่งหมายถึง Keywords ที่ยังมีช่องทางในการทำเงินได้ดี)

"ของฟรีดี ๆ ไม่มีในโลก" อันนี้ก็ไม่จริงซะทีเดียว ของฟรีดี ๆ ก็มีให้เห็นกันมาก แต่คนมักจะไม่ค่อยเห็นค่าของฟรีมากนัก เนื่องจากมันฟรี แต่ถ้าลองได้เสียเงินแล้ว จะใช้ให้คุ้มค่าทุกบาททุกสตางค์ทีเดียว

Q : แล้วจะใช้เครื่องมือตัวไหนถึงจะหา Keywords ดี ๆ ได้หล่ะ จะรู้ได้อย่างไรว่า Keywords ไหนเป็น Keywords ทองคำ
A : ไม่มีหรอกเครื่องมือที่จะหา Keywords ทองคำได้ แต่อาจจะช่วยนำทางไปหา Keywords ดี ๆ ได้ คำตอบที่ดีที่สุดคือ "ทดลอง" ถึงจะเห็น Keywords ทองคำจริง ๆ (แต่ก็ไม่ทองคำตลอดไป)

"อ่านมายาวแล้วนะ เมื่อไหร่จะบอกวิธีหา หรือจะใช้เครื่องมืออะไรก็ว่ามา"

หลายคนคงใจร้อนอยากรู้แล้วว่าเทคนิคการหา Keywords แบบอ้างอิง Goo (เกิ้ล) เป็นแบบไหน งั้นก็เข้าเรื่องกันเลย

แนวคิดมีอยู่ว่า Google คือผู้กุมความลับเกือบทั้งหมดของการค้นหา แน่นอนว่าข้อมูลที่ได้จาก Google น่าจะเชื่อถือได้มากกว่า 80% (ไม่ทุกกรณี บ้างครั้ง Google ก็โกหกเราแบบ 100%) โดยเราจะอาศัยเครื่องมือในการหา Keywords จาก Google ที่ทุกคนน่าจะรู้จักกันอยู่แล้ว นั้นคือ Keyword Tool ของ Google (https://adwords.google.com/select/KeywordToolExternal) แต่มีเทคนิคเพิ่มเติมที่จะทำให้เราได้ Keywords ที่ค่อนข้างดี ด้วยการนำ Keywords ที่ได้ มาวิเคาะห์เพิ่มเติม พอจะสรุปง่าย ๆ ได้ดังนี้

1. หา Keywords และปริมาณการค้นหา จาก https://adwords.google.com/select/KeywordToolExternal
2. หา Keywords ที่ราคาดี ๆ จาก https://adwords.google.com/select/TrafficEstimatorSandbox
3. หาคู่แข่งจาก Search Result (Google, Yahoo, MSN)
4. นำข้อมูลทั้ง 3 ข้อมาวิเคราะห์ (อันนี้ต้องใช้ common sense)
5. ทดลอง Keywords ที่หาได้ (ถ้าโชคดีก็จะเจอ Niche Keywords) ถ้าไม่ได้ก็กลับไปทำซ้ำตั้งแต่ข้อ 1.

เห็นไหมครับว่าขั้นตอนก็เดิม ๆ ไม่มีอะไรแปลกไหม่เท่าไหร่ แต่ถ้าใครได้ลองตามขั้นตอนนี้แล้วจะเห็นว่าต้องใช้เวลามากพอสมควร จึงจะได้ Keywords ออกมาแต่ละชุด ถ้าใช้เวลาและแรงงานเยอะอย่างนั้นคงไม่เรียกว่าเทคนิคแน่นอน

ลองมาดูเทคนิคเพิ่มเติมที่จะทำให้ได้ Keywords ดี ๆ ได้ในเวลาไม่มากนัก โดยไปตามขั้นตอนเหมือนเดิม
1. หา Keywords จาก https://adwords.google.com/select/KeywordToolExternal โดยตัวอย่างจะลองหา Keywords ที่เกี่ยวข้องกับ acne (สิว)

เสร็จแล้วก็คลิกที่ .csv (for excel) เพื่อดาวน์โหลดไฟล์ Keywords 150 คำแรกมาเปิดโดย excel

ทำการเรียงลำดับจำนวนการค้นหาของแต่ละ Keywords จากมากไปหาน้อย




จากนั้นเลือก Keywords ตามจำนวนที่ต้องการ ตัวอย่างเลือกแค่ 20 คำ เพื่อที่จะไปขั้นตอนหา Keywords ที่ราคาดี ๆ เราไม่จำเป็นต้องเอาคำที่มีการค้นหามากสุดก็ได้ เลือกเอาในช่วงที่มีการค้นหาพอสมควร เช่นสัก 5000 - 100000 เพื่อที่จะได้ลดจำนวนคู่แข่งไปได้ เนื่องจาก Keywords ที่มีการค้นหาสูง คู่แข่งย่อมจะเยอะ เมื่อได้จำนวนตามต้องการแล้ว ก็ลบคำที่เราไม่ต้องการออก พร้อมทั้งเรียงรายชื่อใหม่ ตามตัวอักษรของ Keywords
จากนั้นก็ลบคำที่เราไม่ต้องการออก




2. ไปที่ https://adwords.google.com/select/TrafficEstimatorSandbox แล้วใส่ Keywords ทั้ง 20 คำ


เสร็จแล้วก็ทำการดาวน์โหลดมาเปิดด้วย excel


ทำการคัดลอกค่า Estimated Avg. CPC และ Estimated Click/Day ไปใส่ในไฟล์ excel ในข้อ 1.




3. หาคู่แข่งจาก Search Result (Google, Yahoo, MSN) ตรงนี้อาจจะเป็นปัญหาสำหรับหลายคน ว่าจะต้องหาทีละคำ ทีละ Search Engine โอ้โห้.... กว่าจะครบนี่เหงื่อตกกันพอดี บางคนอาจจะมีตัวช่วยให้ง่ายขึ้นด้วยเครื่องมือต่าง ๆ



4. วิเคราะห์ข้อมูลที่มีทั้งหมด เพื่อหา Keywords ที่น่าสนใจ โดยอาจจะทำการเรียงลำดับดังนี้
1 จำนวนคู่แข่งใน Google (เพราะเราสนใจ Google) หรือเลือกได้ว่าจะเอาคู่แข่งไหนเป็นหลัก อาจจะเอาค่ารวมก็ได้
2 จำนวนการค้นหา
3. ค่าของ Keyword แต่ละคำ หรือจำนวนการคลิกของแต่ละ Keyword

จากตัวอย่างเราก็จะได้ Keywords ที่น่าสนใจดังนี้



acne care
acne products
acne remedy

หรือขยายความสนใจให้กว้างขึ้น


acne remedy
cystic acne
clear acne
acne laser
acne product
cure acne
acne natural
acne products
acne control
rid acne
acne care

เราสามารถที่จะเอา Keywords เหล่านี้ไปหาต่อได้ โดยทำซ้ำตามขั้นตอนทั้งหมด

5. ขั้นตอนสุดท้ายคือการนำ Keywords ที่ได้ไปทดลอง โดยอาจจะไปลองกับเว็บปั่นดูว่า Keywords ไหนจะทำเงินได้ดีจริง ๆ ขั้นตอนนี้ก็ต้องอาศัยเทคนิคหลายอย่างเข้าช่วย คงต้องใช้เวลาสักพัก แต่ก็ต้องทำเพราะคงไม่มีใครมาบอกว่า Keywords ไหนทำเงินให้เขาจริง ๆ (จะบอกให้โง่ทำไม กว่าจะหาได้แทบรากเลือด)

เหนื่อยแล้ว... ใช้เวลาเขียนบทความนี้อยู่หลายชั่วโมงเลย บทความนี้ไม่ได้ถูกต้องทุกอย่าง เป็นเทคนิคที่อ้างอิง Goo (และGoogle) โดยต้องยอมรับเงื่อนไขว่าข้อมูลที่ได้จาก Google เชื่อถือได้ (ผมก็ค่อนข้างเชื่อข้อมูลการค้นหาจาก Google เพราะทดลองกับ Keywords แล้วปริมาณการค้นหาก็ใกล้เคียงกับที่ Google บอก

Alexa Rank คือ อะไร?

seo

Google Pagerank คือ อะไร ?
Google Pagerank หรือ Google PR คือ ค่าลำดับคะแนนที่ Google ประเมินให้กับคุณภาพของเนื้อหา ในหน้าเว็บเพจแต่ละหน้า ที่ปรากฎ อยู่ในเว็บไซต์ โดยคะแนนที่ปรากฎจะอยู่ในช่วงระหว่าง 0 ถึง 10 ยิ่งตัวเลขยิ่งสูงยิ่งดี PageRank สูง นั่นหมายความว่าเว็บไซต์นั้นๆ มีโอกาสได้รับการจัดอันดับที่ดีกว่าเว็บไซต์ที่มี PageRank ต่ำกว่า สำหรับหน้าเว็บเพจที่ไม่มีค่าPagerank ระบบจะแจ้งเป็น “No PageRank information available”

Alexa Rank คือ อะไร?
Alexa Rank คือ อันดับเว็บทั่วโลกที่อยู่บนเว็บของ alexa
ตัวเลขแสดงอันดับของการเข้าชมเว็บไซต์ ในค่าของ Alexa Rank นี้ ได้มาจากการคำนวณ ตาม Traffic ที่มาจาก UIP ที่เป็นผู้ใช้อยู่ทั่วไปนั่นเอง (โดยคิดคำนวณในระยะเวลา 3 เดือนต่อครั้ง) และจะเห็นได้ว่า Alexa Rank ของเว็บไซต์ที่มีค่าน้อย จะดีกว่า Alexa Rank ของเว็บไซต์ที่มีค่ามาก

Backlinks คือ อะไร?
Backlinks คือ Links ที่เชื่อมโยงเข้ามาที่เว็บไซต์ของเรา บางครั้งเรียกว่า Incoming Links หรือ Link Popularity ยิ่งมีเยอะเท่าไหร่ยิ่งส่งผลดีต่อเว็บเราเท่านั้น

One-stop Service Keyword Page


One-stop Service Keyword Page

ไอเดียการสร้างหน้า keyword ที่ตรงใจ visitor ครับ
ผม เชื่อว่าเพื่อนๆส่วนหนึ่งที่จ้างเขียนบทความอาจจะเจอปัญหาเรื่องจ้างเขียน แล้วได้บทความไม่ตรงใจ เช่นส่ง kw "Australia Adventure" ไปจ้างเขียน อยากได้ทำนอง how to get the best deals แต่คนเขียนดันเขียนมาแนวสถานที่ที่ควรไปซะนี่

แน่นอนว่าเขาเขียนไม่ ผิด แต่มันไม่ตรงใจเรา เพราะอะไร? ก็เพราะ keyword มันดิ้นได้ ต้องเดาใจว่าคนที่ค้นเขาต้องการอะไรจากการค้นครั้งนี้ บางคนอาจจะต้องการรู้สถานที่ที่ควรไป วิธีการเดินทาง บางคนต้องการ package tour หรือบางคนอาจจะแค่อยากอ่านสนุกๆ แบบว่าว่างมาก

โจทย์นี้เลยมาตก อยู่ที่เจ้าของเว็บว่าจะทำยังงัยดีกับคนค้นที่มาด้วยวัตถุประสงค์ที่แตกต่าง กัน แต่จะต้องมาเจอหน้าบทความของเราแค่หน้าเดียว สมมุติว่าคนเข้ามาเพราะต้องการ package tour ถูกๆ เข้าทางโจรเลยครับ บทความเราเป๊ะ แต่ถ้าเขามาด้วยวัตถุประสงค์อื่น หน้าเว็บเราก็จะกลายเป็นส่วนเกินที่เขาไม่ต้องการไปทันที

สรุปเบื้องต้นตรงนี้ก่อนว่า บทความที่เราคิดว่าคุณภาพเต็มร้อย โครตเทพ ก็จะสามารถตอบสนองความต้องการของ visitor ได้บางส่วนเท่านั้น

ถ้า ถามผมว่า ทำยังงัยดีละกับปัญหานี้ ผมก็ไม่รู้ครับ ผมให้ความสนใจปัญหานี้มาระยะนึงแล้ว ตอนนี้กำลังทดลองอะไรบางอย่าง จริงๆผลการทดลองออกมาให้เห็นแล้ว เพียวแต่มันระยะสั้นเกินไปที่จะสรุปเป็น roadmap ได้
   
แนวทางที่ผมใช้ในการแก้ปัญหานี้คือ การสร้าง kw page แบบ one-stop service ซึ่งหมายถึงการสร้าง kw page เพื่อตอบสนองความต้องการของ visitor ส่วนใหญ่ (อาจจะไม่ทั้งหมด) วิธีการไม่ซับซ้อนครับ

  • ขั้นแรก เมื่อหา kw ที่ต้องการทำได้แล้ว ผมก็จะมานั่งคิดว่า คนเขาค้น kw นั้นด้วยวัตถุประสงค์อะไรได้บ้าง
  • ขั้นสอง สร้างหน้า kw ตามวัตถุประสงค์นั้นๆ
  • ขั้นสุดท้าย วัดผล

สำหรับเพื่อนๆที่ยังนึกไม่ออก ลองดูตัวอย่างนี้นะครับ
สมมุติ ว่าเราทำ kw page ของคีย์ cpanel web hosting (ยกตัวอย่างนี้บ่อย แต่ผมไม่ได้ทำนะครับ ยากเกิ้น) เราก็ต้องมานั่งนึกว่าคนเขาค้นเข้ามาด้วยวัตถุประสงค์อะไร ก็จะสามารถแยกคร่าวๆได้ดังนี้
1. กลุ่มที่ต้องการรู้ว่ามันคืออะไร
2. กลุ่มที่รู้ว่าคืออะไร แต่ต้องการรู้ว่ามีเจ้าไหนเด็ดๆบ้าง
3. กลุ่มที่รู้ว่ามีที่ไหนบ้าง แต่ต้องการอ่าน reviews, feedback เป็นต้น
4. กลุ่มที่รู้ทุกอย่างแล้ว เพียงแต่จะมาหาคูปองหรือ package ราคาถูกๆ

เอา แค่ 4 กลุ่มละกัน ถ้าเราจ้างเขียนบทความ แล้วเขาเขียนมาให้เราในแนว CPanel Web Hosting - What is it? แบบนี้กลุ่มแรกยิ้ม แต่อีก 3 กลุ่มเบ้หน้า เพราะรู้แล้ว ... ผมเชื่อว่าเขาจะกดปิดหน้าเว็บของเรา

เพื่อแก้ปัญหานี้ ผมก็จะสร้างหน้าเว็บที่มีข้อมูลต่อไปนี้
1. มันคืออะไร ดียังงัย เมื่อเทียบกับ hosting ประเภทอื่นๆ
2. reviews ซัก 1-2 ที่ ทำนอง best in class (แน่นอนมี aff link ให้กดเล่นสนุกๆด้วย)
3. ตามด้วย recommended cpanel web hosting services อีกซัก 4-5 ที่ (มี aff link ด้วย)
4. ตามด้วย deals of the week/month ก็ว่าไป ใส่ promo code / coupon / package ราคาพิเศษ
5. ตบท้ายด้วย related topics เผื่อข้อมูลหน้านี้ไม่ตรงกับที่ visitor ต้องการ จะได้มีที่ไปต่อ

พวก aff ที่เราเอามา reviews เป็นได้ทั้ง amazon, cj, cb หรืออะไรก็ได้ครับ ที่สามารถสร้าง value added ให้กับ visitor และกับเราได้
ส่วนการวัดผลก็ง่ายๆครับ click + earning จาก aff นั้นๆ

เพื่อนๆละครับ มีแนวทางการสร้าง kw page เพื่อรองรับความต้องการที่แตกต่างของ visitor ยังงัยกันบ้าง

credit: http://www.thaiseoboard.com/index.php/topic,165460.840.html

SEO On-Page

seo onpage

Code ในการปรับแต่ง SEO On-Page


โดยหลักๆ ขอให้ Code คร่าวๆ ก่อน
<b:include data='blog' name='all-head-content'/>
    <title>
 <b:if cond='data:blog.homepageUrl == data:blog.url'>
  <data:blog.title/>
 <b:else/>
  <data:blog.pageName/> | <data:blog.title/>
 </b:if>
</title>
<b:include data='blog' name='all-head-content'/>
<meta content='DESCRIPTION' name='description'/>
    <meta content='KEYWORD' name='keywords'/>
    <meta content='global' name='distribution'/>
    <meta content='10 days' name='revisit'/>
    <meta content='10 days' name='revisit-after'/>
    <meta content='document' name='resource-type'/>
    <meta content='all' name='audience'/>
    <meta content='general' name='rating'/>
    <meta content='all' name='robots'/>
    <meta content='index, follow' name='robots'/>
    <meta content='AUTHOR' name='author'/>
    <meta content='en' name='language'/>
    <meta content='EN' name='country'/>
    <meta content='blogger' name='generator'/>

ขออธิบาย ในส่วนที่ ตัวหนังสือสีแดงก่อนนะครับ
DESCRIPTION = คำอธิบายคร่าวๆว่าบล็อกมีเนื้อหาเกี่ยวกับอะไร
KEYWORD = คำที่เกี่ยวกับเนื้อหาของบล็อก ว่าเกี่ยวกับอะไร
AUTHOR = ชื่อผู้เขียนบล็อก
en = ภาษาอะไร ถ้าไทย ก็ th
EN =  ประเทศอะไร ไทยก็ TH



อ่าส่วนวิธีใช้นะครับ
เราต้องไปที่ 
การเปลี่ยน Template สำหรับ Blogger

จากนั้นค้นหาคำว่า
การปรับแต่ง SEO On-page สำหรับ Blogger ขั้นที่ 1
เปลี่ยนเป็น Code ด้านบน


จากนั้นก็อยู่ที่เนื้อหาของเพื่อนๆแล้วหละว่าจะทำยังไงให้ Onpage SEO แบบนี้ ผมจะใช้บทความที่เกี่ยวกับการปรับแต่ง Onpage SEO บทความนี้เป็นตัวอย่างให้ดูคร่าวๆนะครับว่าBlogger ก็สามารถปรับแต่ง SEO ด้าน On-page ได้เหมือนกัน ให้เพื่อนๆสังเกตุคำว่า Onpage SEO นะครับ ว่าจะมี ตัวหนา ตัวเอียง ตัวขีดเส้นใต้ แล้วก็ลิ้งเข้าหน้าบล็อกหน้าอื่นๆได้ เช่น การเขียนบทความที่ถูกต้อง และ การสร้างบล็อก 

เป็นต้น

ซึ่งจะเห็นว่าบทความตัวอย่างข้างต้นนี้ ผมได้เน้นคำว่า Onpage SEO ใช่ไหมครับ แต่มีข้อแม้เช่นกัน ว่าหากใช้คำเหล่านี้เยอะเกินไป จะทำให้ โดนหักคะแนนจาก Search Engine ครับ ซึ่งหลักๆก็คือ Google นั่นเอง


ยังไม่หมดเพียงแต่นี้นะครับ ให้ดูที่หน้าเว็บของเพื่อนๆจะมีส่วนนี้อยู่
การปรับแต่ง SEO On-page สำหรับ Blogger ขั้นที่ 2

นอกจากส่วนนี้แล้วยังมี Tag ที่จะใช้กันอีก เรียกว่า แท็ก Header ซึ่งก็คือหัวข้อนั่นเอง
ซึ่งจะอยู่ตรงนี้
การปรับแต่ง SEO On-page สำหรับ Blogger ขั้นที่ 3
จะได้ตัวอย่างนี้ ลองปรับแต่งกันดูนะครับ


การปรับแต่ง SEO On-page สำหรับ Blogger ขั้นที่ 4

ที่นี้มาใส่ ALT Tag หรือคำอธิบายรูปภาพกัน โดนวิธีใส่ไปที่ Html ด้านบนซ้าย

แล้วจะเห็น Code Html เยอะแยะเลย ให้สังเกต ตาม กรอบนะครับ

การปรับแต่ง SEO On-page สำหรับ Blogger ขั้นที่ 5


เริ่มเข้มข้นขึ้นมาแล้วหละสิครับเพื่อนๆ ในบทต่อไปอย่าพลาดกันหละครับ ^^
http://blog9t.blogspot.com/2012/07/onpage-seo-blogger.html

Digg คืออะไร



ปัจจุบันกระแส Social Bookmark มาแรง..มันคืออะไร…คงมีหลายคนตั้งคำถาม
Favorites Online คืออะไร คือเว็บไซต์ที่ทำหน้าที่เก็บ URL ของเว็บไซต์ที่ชื่นชอบไว้ดูภายหลัง ซึ่งสามารถเข้าดูได้ทุกที่ทุกเวลาที่เราสามารถเข้าถึงอินเตอร์เน็ตได้ Digg Favorites Online ยังเป็นแหล่งรวบรวมเรื่องราวต่าง ๆ ที่น่าสนใจและเป็นแหล่งโปรโมทเว็บไซต์ เพื่อเพิ่ม Backlink ทำให้เป็นที่รู้จักแพร่หลาย
หลาย ๆ ท่านคงได้ใช้งาน Favorites ของ Internet Explorer ซึ่งทำหน้าที่ในการเก็บ URL ที่เราสนใจในเนื้อหาหรือชื่นชอบ แต่เมื่อเราต้องการใช้งานที่เครื่องของผู้อื่นและอยากจะกลับไปเยี่ยมชม เว็บไซต์นั้นเป็นเรื่องได้ยาก เพราะเว็บไซต์ต่าง ๆ มีอยู่มากมาย บางเว็บไซต์มีชื่อที่ยาว จำยาก หรือเผอิญเราลิ้งค์ผ่านไปเจอบ้าง นั่นไม่ใช่ปัญหา…DiggZy Favorites Online สามารถตอบสนองการใช้งานของคุณได้ ภายใต้เงื่อนไขทุกที่ทุกเวลา
หลาย ๆ คนได้ประยุกต์ใช้สำหรับการเก็บไดอารี่เล่มโปรดหรือรายการกีฬาที่เราชื่นชอบ สถานที่ท่องเที่ยวที่อยากจะไป แผนที่เดินทาง และยังสามารถแชร์…หรือแบ่งปันให้กับเพื่อน ๆ ในกลุ่มของเราหรือใครก็ได้ที่ต้องการรู้ในเรื่องที่เราสนใจ
หลาย ๆ คนสนสัยว่า Digg คืออะไร Digg น่าจะเป็นคำกริยา…หมายถึงการ Submit เว็บไซต์…ฝากเว็บไซต์ไว้กับเวบที่ให้บริการเผยแพร่เรื่องราว บุ๊คมาร์ค

ลองใช้งาน Digg - Social Bookmark ได้ที่ http://digg.bkk.in.th





รูปแบบการให้บริการของ Digg.com คือการนำ Link จากเว็บของเรา และข้อความในจำนวนเล็กๆน้อย ไปสร้าง Link ใหม่ให้กับเรา โดยจะทำการ Link กับมายัง Link ต้นทาง ใครที่ต้องการโปรโมตเว็บไซต์ด้วยวิธีง่ายลองไปสมัครให้บริการดูนะครับ หลังจากทำการสมัครบริการจาก Digg แล้ว - Click > Submit Url ลองหาดูบน Tool ด้านบนของเว็บ - นำ Url ที่ต้องการโปรโมท มาใส่ - กรอก Title ของเว็บ และเนื้อหาอย่างย่อลงไป - กรอกรหัสป้องกันสแปม - เสร็จเรียบร้อย หลังจากนั้นก็รอ เว็บของเราจะค่อยๆไต่อันดับใน Search Engine เอง แนะนำว่าหนึ่งวัน(24ชม.) ไม่ควรเกิน 2-3 Post ต่อวันนะครับ เดียวจะมองว่าเราเป็นสแปม พาลจะโดนแบนเอาครับ แหล่งที่มา: http://submiturl.blogtika.com สมัครบริการDigg: http://www.digg.com

LinkedIn คือ


           คงไม่มีใครปฎิเสธนะครับว่าหนึ่งในนิยามความสําเร็จทางธุรกิจก็คือ การสร้างมิตรภาพ การสร้างเสริมความสัมพันธ์ทั้งระหว่างคู่ค้า เพื่อนร่วมงาน เพื่อนร่วมอาชีพ หรือเรียกรวมๆ กันว่า “Connection” สมัยก่อนการบริหารความสัมพันธ์ดังกล่าวเพื่อประโยชน์ในหน้าที่การงานของเราจะต้องใช้ความพยายามค่อนข้างมาก แต่สมัยนี้เรามี Social Media เฉพาะทางสำหรับคนทำงานอย่าง LinkedIn.com เชื่อว่า thumbsuper หลายท่านคงเคยใช้กันมาไม่มากก็น้อย วันนี้เราเลยขอนำกลเม็ดเล็กๆ น้อยๆ ในการใช้ LinkedIn ให้ได้ประโยชน์สูงสุดครับ
1. ทำโปรไฟล์ให้ชัดเจน อ่านแล้วเข้าใจเราภายใน 1 นาทีเวลาเราเข้าไปใช้งาน LinkedIn หลายครั้งเลยครับที่เรามักจะเจอโปรไฟล์ที่ดูไม่ชัดเจน เขียนว่าทำอะไรได้ ทำงานที่ไหนมาอย่างเดียวอาจจะไม่พอ แต่สิ่งหนึ่งที่จะทำให้ภาพลักษณ์ของเราชัดเจนได้อย่างง่ายๆ ก็คือ ระบุให้ชัดไปเลยว่าถ้าเราจะอธิบายตัวเองสั้นๆ ให้คนที่อ่านโปรไฟล์ของเราเข้าใจได้ในเวลาไม่เกิน 1 นาที จะต้องเขียนอย่างไร
ส่วนตัวผมใช้วิธีการเขียนนิยามไว้สั้นๆ ใต้รูปโปรไล์สั้นๆ 1 ประโยคว่าเป็น “Online Media Practitioner” หรือผู้สนใจใฝ่รู้ในเรื่องสื่อออนไลน์ เพราะผมเป็นคนที่มีพื้นหลังการศึกษาเรื่องสื่อ เคยผ่านงานข่าวงานสื่อมาแล้วเกือบทุกรูปแบบก่อนที่จะก้าวเข้าสู่โลกออนไลน์ ทำให้มีประสบการณ์ด้านสื่อออนไลน์ชัดเจน ใครที่สนใจจะทำความรู้จักตัวตนของผมมากขึ้น ก็อ่านประวัติต่อได้ ถึงจะรู้ว่าอ๋อ ผ่านงานด้านการตลาด และการดูแลผลิตภัณฑ์มาด้วย เป็นต้น… อีกอย่างหนึ่งที่ขอย้ำคือ เราต้องเขียนเข้าใจง่ายๆ อ่านปราดเดียวเข้าใจด้วยนะครับ พอเขียนเสร็จแล้วให้อ่านทวนและแทนใจว่าเราเป็นคนอ่านว่าอ่านแล้วงงหรือไม่
สำรวจตัวเราเองก่อนเลยครับว่า ถ้าจะให้คนอื่นเรียกเราสั้นๆ จะให้เขาเรียกเราเป็นอะไร อันนี้เป็นเรื่อง Personal Brand ด้วยครับ จะให้คนจำคุณว่าเป็นอะไรดี? แตกต่างจากคนอื่นๆ อย่างไร
2. เพิ่มคนที่คุณรู้จักจริงๆ เท่านั้นผมขอแนะนำให้คุณรับแอดหรือเพิ่มรายชื่อคนติดต่อเฉพาะคนที่คุณรู้จักจริงๆ เท่านั้น เพราะการที่คุณเพิ่มใครเข้ามาอยู่ในเครือข่ายของคุณ เท่ากับคุณอาจเปิดให้คนๆ นั้นเข้ามาดูได้ว่าคุณรู้จักใครบ้าง ซึ่งเป็นทั้งคุณและโทษในเวลาเดียวกัน ที่จริงเราสามารถตั้งค่าความเป็นส่วนตัวได้ด้วยว่าเราจะให้คนในเครือข่ายเราเห็น Connection ของเราหรือไม่ ผมเคยลองไม่ให้คนในเครือข่ายมองเห็น Connection ของเราปรากฏว่าคนดูโปรไฟล์หรือติดต่องานเราน้อยลง ดังนั้นสู้ว่าเราเพิ่มเฉพาะคนที่รู้จักจริงๆ แล้วเปิดให้คนรู้จักดู Connection เราได้จะดีกว่า มันจะทำให้คุณได้รับประโยชน์จาก LinkedIn มากกว่า เพราะ LinkedIn เป็นเรื่องของโครงสร้างข้อมูลที่ “เปิด” มากกว่าการเป็นเว็บไซต์สำหรับอัพโหลด Resume แบบ “ปิด”
3. กล้าใช้ภาษาอังกฤษแบบไม่กลัวผิดด้วยความที่ LinkedIn ยังไม่ได้เปิดให้บริการภาษาไทยอย่างเป็นทางการ ผมแนะนำว่าเราควรใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารเป็นหลักแบบที่คุณไม่ต้องไปกลัวผิดอะไรมาก เพราะถ้าคุณสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษแล้ว คุณก็จะใช้บริการของ LinkedIn ได้คุ้มค่าไม่ว่าจะเป็นการถาม-ตอบใน LinkedIn Answers หรือการใช้ Application ต่างๆ ที่อยู่ใน LinkedIn ไม่ใช่ใช้มันเป็นเพียงที่แปะ Resume อย่างนั้นคุณใช้เว็บหางานทั่วไปก็ได้ครับ แต่สำหรับ LinkedIn คุณใช้มันทำอะไรได้หลากหลาย แต่ก้าวแรกต้องเริ่มจากการพยายามสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษก่อน ถ้าคุณกลัวว่าจะใช้ภาษาผิด ไม่ต้องกลัวครับคนต่างชาติถ้าอยากจะคุยกับเราจริงต้องพยายามทำความเข้าใจเรา แต่อย่างไรถ้ามีเวลาเราก็ต้องพยายามเขียนให้ถูกด้วยนะครับ :D 

4. Upgrade Account ของคุณด้วยการยอมจ่ายเงิน LinkedIn บ้างถ้าลองสังเกตไอค่อนเล็กๆ ข้างโปรไฟล์ของผู้ใช้ LinkedIn บางคนคุณจะเจอไอค่อนสีทอง อันนั้นคือไอค่อนที่ระบุว่าสมาชิก LinkedIn คนนั้นใช้ Business Account โดยยอมจ่ายค่าสมาชิกเดือนละ 30-100 เหรียญ โดยคุณจะได้รับประโยชน์อย่างเช่น ส่งอีเมลหาคนที่ไม่ได้อยู่ใน Contact ของคุณได้โดยตรง และทาง LinkedIn การันตีว่าจะได้รับการตอบกลับแน่นอน นอกจากนี้ยังมีการเพิ่มความสามารถในการคอยตรวจดูว่าใครมาดูโปรไฟล์ของคุณบ้าง อย่างปกติดูได้จำกัดไม่กี่คน แต่ถ้าคุณอัพเกรดคุณก็รู้หมดว่าใครเข้ามาดูบ้าง ซึ่งตรงนี้จะช่วยให้เรารู้ได้ว่าตอนนี้คนในแวดวงไหนที่อ่านและดูโปรไฟล์ของคุณบ้าง ส่วนตัวแล้วผมได้รับประโยชน์จากการ Upgrade Account หลายอย่างครับ ทำให้มีคนติดต่อเข้ามามากขึ้น และส่วนตัวก็ติดต่อชาวต่างประเทศในด้านเดียวกันได้ง่ายมากๆ แม้จะไม่มี Connection ระหว่างกัน

5. เข้าร่วมกลุ่มความสนใจต่างๆ
LinkeIn ไม่ใช่เว็บไซต์หางานอย่างเดียว แต่มันเป็น Social Media ที่เปิดให้เราบริหารความสัมพันธ์ทางธุรกิจได้ วิธีการเริ่มต้นง่ายๆ ก็คือ กลุ่มความสนใจต่างๆ ของสมาชิก LinkedIn ครับ กลุ่มหลักๆ จะแบ่งออกเป็น 2 อย่างครับ แบบแรกคือ “แบบองค์กร” อย่างผมเองเคยทํางานที่ Yahoo! ผมก็จะเข้าไปร่วมในกลุ่มของ “ศิษย์เก่าและศิษย์ปัจจุบัน Yahoos” ซึ่งข้างในกลุ่มนี้ก็จะมีคนที่เคย/กําลัง ทํางานอยู่ใน Yahoo! เข้าไปคุยกันอยู่ในนั้น ใครย้ายไปประเทศอะไร อยู่ที่ไหนก็ตามกันได้ ใครมีงานใหม่ๆ มาประกาศกัน มีแม้กระทั่ง อดีตฝ่ายบุคคลมาตามหาคนไปทํางานก็มี
แบบต่อมาก็คือแบบ “กลุ่มความสนใจ” อันนี้แบ่งกันตามสะดวก เช่นวันดีคืนดีอาจจะมีคนมาชวนคุณมาเข้าร่วม “กลุ่มนักการ ตลาดออนไลน์แห่งประเทศไทย” หรือ “กลุ่มนักพัฒนาโอเพ่นซอร์ส” และถ้าไม่มีกลุ่มไหนตรงกับความต้องการหรือความสนใจเราเลย จะตั้งกลุ่มเองก็ไม่ผิดกติกาครับ การตั้งกลุ่มที่เป็นกลุ่มเฉพาะในความสนใจของเราเองจะทําให้เราได้สนทนาภาษาเดียวกันกับคนที่ทํางานในสายเดียวกับเราได้แลกเปลี่ยนความรู้กับคนอื่นๆ มีแต่ได้กับได้ครับ เราเพียงแต่ต้องคอยจัดการกลุ่มหรือดูแลชุมชนของเราให้ดี





กระแสการใช้เฟซบุ๊ค (Facebook) เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีจำนวนผู้ใช้ (account)เติบโตโดยตลอด สถิติจากwebsite www.facebakers.com มีคนไทยที่ลงทะเบียนแล้ว 5,744,060 คน แบ่งเป็นผู้ชาย 45% และผู้หญิง 55% ผู้ใช้บริการส่วนใหญ่คือวัยอุดมศึกษาหรือวัยเริ่มต้นทำงาน (18-24 ปี) ประมาณ 37% ของกลุ่มผู้ใช้บริการทั้งหมด และวัยทำงาน (อายุ 25-34 ปี) ประมาณ 32% ซึ่งสรุปได้ว่า 69% คือกลุ่มที่กำลังสร้างเนื้อสร้างตัว และใช้ Facebook แสดงความเป็นตัวตนของตัวเองให้กับสื่อที่กระจายไปอย่างไม่มีขอบเขต แม้ว่าFacebookจะมีการตั้งค่าความเป็นส่วนตัว (Privacy) แล้วก็ตาม ซึ่งในต่างประเทศ เช่นในประเทศสหรัฐอเมริกาหลายบริษัทเมื่อจะรับคนเข้าทำงานก็จะตรวจสอบพฤติกรรมต่างๆ ของผู้สมัคร โดยเข้าไปดูใน Facebook ของผู้สมัครนั้นด้วย รูปถ่ายที่ประหลาด กิจกรรมที่หลากหลาย คำหรือประโยคที่ใช้โพสข้อความ ล้วนสื่อถึงความคิดและการกระทำของผู้สมัครได้

นอกเหนือจากการปรับวิธีการใช้เฟซบุ็ค Facebook ให้เหมาะสมแล้ว ถ้าคุณคิดจะได้งานที่ดี หรือต้องการเติบโตในสายอาชีพอย่างเหมาะสมและถูกทางแล้ว ยังมี Social media ที่เน้นสำหรับมืออาชีพ (Professional) โดยเฉพาะ นั่นคือLinkedin

มีสถิติศึกษาโดย Nielsen Claritas เมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว (2552) สรุปว่า 35% ของผู้ใช้บริการ Linkedin สามารถสร้างรายได้เพิ่มขึ้นมากกว่า 100,000 ดอลล่าร์สหรัฐฯ (หรือประมาณ 3 ล้านบาท) ในขณะที่ผู้ใช้บริการ Facebook 20% สามารถสร้างรายได้ในระดับเดียวกัน ทั้งๆที่สมาชิก Facebook มีมากกว่าสมาชิก Linkedin หลายเท่า

Linkedin ไม่ใช่เพียงเวปแสดงประวัติการทำงานหรือประสบการณ์ (Resume) เพื่อหางานเท่านั้น แต่ยังเป็นแหล่งข้อมูล และเครือข่ายอีกมากมาย รวมทั้งต่อยอดธุรกิจไปทั่วโลกด้วย จำนวนผู้ใช้ตอนนี้มีกว่า 70 ล้านคนทั่วโลก ซึ่งสมาชิกส่วนใหญ่คือผู้บริหารระดับกลางและสูง มาจากบริษัทระดับชาติหลายแห่ง ดังนั้นจึงไม่ใช่การหางานเท่านั้น แต่คือแหล่งแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และวิธีการทำงานให้ประสบความสำเร็จในสายอาชีพเดียวกัน ยกตัวอย่างกลุ่มที่ผมเป็นสมาชิกอยู่ได้แก่ Finance Industry Professional Worldwide กลุ่มคนที่ทำงานหรือสนใจในสายงานด้านการเงิน มีสมาชิกตอนนี้ 26,981 คน จะมีข้อความแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับการเงินทั่วโลก และ กลุ่มThailand Connection ราชอาณาจักรไทย มีสมาชิกตอนนี้ 4,340 คน มีผู้บริหารสายงานอาชีพต่างๆ ในประเทศไทย (มีทั้งคนไทยและคนต่างชาติ) พูดคุยเกี่ยวกับการทำงานในประเทศไทย

ผมเองก็มี Facebook แต่ว่า Linkedin ช่วยสร้างเครดิตให้การทำงานของผมมากกว่า เพราะลูกค้าของผมเป็นบริษัทต่างชาติด้วย ซึ่งเคยมีบริษัทต่างชาติโทรมาสัมภาษณ์งาน เพราะสนใจใน Profile ของผมใน Linkedin และมี email จากผู้บริหารในหลายประเทศที่สนใจจะมาลงทุนในประเทศไทยติดต่อเข้ามาหลายครั้ง

ผมได้แนบตัวอย่างหน้า Profile Linkedin ของผมให้ดูกันนะครับ หรือไปดูเพิ่มเติมได้ที่

http://th.linkedin.com/in/sethaphong หรือค้นหา Sethaphong ผ่านทาง Google จะพบว่าเวปProfile ของ Linkedin ของผมจะติดอันดับต้นๆ เลย

Delicious คืออะไร






1.Delicious คืออะไร                                                                                                            

       Delicious คือ ออนไลน์บุคมาค ที่เราสามารถเก็บบุคมาคของเว็บแล้วนำมาแชกับคนอื่นๆได้

2.ข้อดีของ Delicious

       สามารถบุคมาคเว็บไซต์ที่น่าสนใจไว้แชกับผู้อื่นได้


3.Delicious มีประโยขน์ต่อผู้ใช้และสังคมคือ

       Delicious สามารถใช้สำรวจความนิยมของเว็บไซต์นั้นๆได้ซึ่งทำให้เป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้และยังมีประโยชน์ต่อผู้อื่นคือสามรถแบ่งปันเว็บไซต์ที่น่าสนใจกับผู้อื่นและให้ผู้อื่นสามรถดูความนิยมของเว็บไซต์นั้นๆได้อีกด้วย


4.วีธีใช้ Delicious  

       ขั้นตอนแรกเลยเราต้องเข้าไปสมัคร yahoomail ก่อนโดยเข้าที่เว็บ  http://www.delicious.com/ แล้วเราก็ทำการสมัครให้เรียบร้อย ต่อมา เราก็เข้าไปที่ http://www.delicious.com/ แล้วจัดการลงชื่อเข้าใช้ให้เรียบร้อย  
       แล้วก็มาถึงขั้นตอนการ Add Bookmark กดเข้าที่ Bookmark แล้วจัดการกด Save a new bookmark บริเวรทางขวา แล้วเราก็เอา url ของเว็บที่เราต้องการบุคมาคแล้วจัดการ copy  url
เว็บที่เราต้องการมาใส่แล้วกด add แล้วเราก็กด save ก็เป็นอันเรียนบร้อย



ตัวอย่าง http://www.delicious.com/holoholo_002/?page=1

รายชื่อบางส่วนของเว็บไดเรคทอรี่



รายชื่อบางส่วนของเว็บไดเรคทอรี่

 ที่เราสามารถฝาก link ของเว็บเราได้ครับ
การทำ SEO ต้องขยันแบ่งงานนะครับ อย่าโหมมากเดี๋ยวจะเสียสุขภาพ
bcoms.net
deedeejang.com
http://www.seoweb.in.th
ส่วนนี่เป็นของเว็บพี่ manacomputers.com เขาแนะนำไว้

การสมัคร paypal บัตรเครดิต


ขั้นตอนการสมัคร PayPal

 เพื่อรับการชำระเงินผ่านบัตรเครดิต


ร้านค้าหรือผู้ประกอบการบนอินเทอร์เน็ทจะได้ประโยชน์มากมายจากการรับชำระเงิน Online ผ่านบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิต แต่ในปัจจุบัน การเชื่อมต่อร้านค้าเข้ากับธนาคารโดยตรงยังไม่ค่อยสะดวกเท่าที่ควร ไม่ต้องเป็นห่วงครับ BentoWeb ช่วยให้คุณข้ามขั้นตอนที่ยุ่งยากเหล่านั้นได้ ระบบของเราเชื่อมต่อกับระบบของ PayPal เพื่อให้ผู้ประกอบการทุกคนสามารถรับการชำระเงินผ่านบัตรเครดิตได้โดยไม่ยุ่งยาก ในบทความนี้ผมอยากจะขอแนะนำ PayPal และขั้นตอนการสมัครเปิดใช้งาน PayPal ครับ


หากท่านผู้ประกอบการท่านใดมี PayPal อยู่แล้ว ท่านจำเป็นที่จะต้อง

ทำความรู้จัก PayPal


PayPal (https://www.paypal.com/th) คือ ตัวกลางในการรับชำระเงิน Online ระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายที่ได้รับความน่าเชื่อถือที่สุดตัวหนึ่งของโลก  มันจะช่วยให้คุณรับบัตรเครดิตได้โดยไม่ต้องเสียเวลาไปกับการเตรียมเอกสารและเดินเรื่องกับธนาคาร หลักการในการใช้ PayPal ในการรับชำระเงินจะเป็นด้งต่อไปนี้:
  1. ลูกค้าของคุณ ไม่จำเป็นต้องมี บัญชี PayPal ก็สามารถใช้บัตรเครดิตหรือเดบิตในการชำระเงินค่าสินค้าในร้านของคุณได้ เพียงแค่กรอกข้อมูลบัตรเครดิตเหมือนกับเวลาจ่ายเงินซื้อของ Online ทั่วไป
  2. เงินที่ได้รับจากลูกค้าจะเข้าไปอยู่ในบัญชี PayPal ของคุณ
  3. และเมื่อคุณต้องการถอนเงินจากบัญชี PayPal, คุณสามารถโอนเงินเหล่านั้น เข้าบัญชีธนาคารที่คุณระบุไว้ในระบบของ PayPal ได้
คุณไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ ในการสมัครใช้บริการ แต่ PayPal จะหักค่าคอมมิชชั่นส่วนหนึ่งจากเงินที่ลูกค้าทำการจ่ายเงินผ่านระบบ คุณสามารถดูข้อมูลและเรียนรู้เกี่ยวกับระบบเพิ่มเติมได้ที่www.paypal.com/th
มีอยู่ 3 ขั้นตอนที่คุณจำเป็นต้องทำในการเปิดบัญชีกับ PayPal คือ 1) สมัครเปิดบัญชี, 2) ยืนยันที่อยู่อีเมล, และ 3) ขอรับการยืนยันตัวตนโดยระบุบัญชีธนาคารหรือข้อมูลบัตรเครดิต

Linkbuck and Linkbee


วิธี+เทคนิค โหลดไฟล์จาก Linkbuck and Linkbee

ยังคงมีปัญหากับการเจอ Linkbuck, Linkbee (หรือะไรพวกนี้) อยู่นะครับ (โดยเฉพาะผู้ที่ไม่ค่อยได้เข้าบอร์ดแบบเรามาก่อน)วันนี้ผมจึงจะมาแนะนำ และอธิบายคร่าวๆ ให้ฟังนะครับ




หาก เพื่อนๆเคยสงสัยว่า ทำไมเว็บพวกโหลดไฟล์ต่างๆถึงต้องให้เรารอถึง 10 กว่าวินาที แล้วค่อย redirect ไปหน้าอื่น .. (หรือกด Skip เอาเอง) พวกนี้ก็คือเว็บพวกนี้แหล่ะครับ มันคือการหาเงินโดยการใช้ Link โดยการเอาเว็บของเค้ามาคอบ Link โฆษณา ก่อนที่จะไป Link จริงๆ อีกที
อ้างอิง พูดง่ายๆ ปกติ Link Download จะเป็นแบบนี้: Download Link >> File
แต่เมื่อใส่ Linkbuck เข้าไปจะเป็น: Download Link >> Linkbee (Ads) >> File
โดย ส่วนตัวผมไม่ซีเรียสอะไรนะครับ เพราะคนที่เค้าเอาไฟล์มาปล่อยให้เราแล้ว เราก็โหลดกันโดยให้ผลตอบแทนเขาบ้าง (โดยเราไม่ต้องจ่ายอะไรเลย นอกจาก Click Skip) ก็ ถือว่าช่วยๆ กันไป แต่อย่างไรก็ตาม บางครั้งมันก็น่ารำคาญจากพวก Popup เหมือนกัน

:::วิธีการข้าม Linkbuck:::
เมื่อเราเข้าไปยัง Download Link ต่างๆ แล้ว ให้กด Skip This Page ที่มุมขวาบน (ตามรูป) ก็จะไปยัง Link ที่ใช้ Download File แล้วครับ
:::วิธีข้ามหน้ารอ linkbuck ใน firefox:::
สำหรับบางคนที่ ค่อนข้างมีความรู้ด้านคอมหน่อย หรือไม่ค่อยชอบที่ต้องเจอ Link พวกนี้นั่น คือ ต้องรอให้ครบ 15 วิ ทุกครั้ง ถึงจะอัตโนมัติไปสู่หน้าที่เราต้องการ เปิดทิ้งไว้หลาย ๆ tab ให้มันนับถอยหลังเอง ก็ทำไม่ได้เพราะเวลามันจะไม่เดินเลย หรือไม่ก็ต้องคอยกด Skip ตรงมุมบนขวาทุกครั้ง เป็นการแก้ปัญหาที่จำเจ ซ้ำ ๆ ซาก ๆ 
วันนี้สำหรับ Firefox เรามี Hero ที่เป็น Add-ons มาช่วยครับ แอ่นแอ๊นน นั่นคือ Greasemonkey ครับ
ซึ่งเป็นตัวช่วยให้เราเพิ่ม Javacript เสริม เพื่อให้แสดงผลตามที่เราต้องการ

ขั้นแรก Download Greasemonkey ที่ https://addons.mozilla.org/en-US/firefox/addon/748
เมื่อเราได้ add-on ตัวนี้มาครอบครองแล้ว สังเกตว่า จะมีไอคอนลิงเล็ก ๆ อยู่ริมขวาล่างของ Firefox นะครับ
เราสามารถกดที่ใบหน้าลิงนี้ เพื่อทำการ enable หรือ disable การทำงานของ Greasemonkey ครับ
แล้วเข้าไปที่หน้า http://userscripts.org/scripts/show/45302 กด Install Script ครับ
จะมี pop up ขึ้นมาให้ Install Sript เพื่อข้ามหน้าของ Linkbuck โดยอัตโนมัติ

นอก จากนั้น เรายังใช้ Greasemonkey เพื่อการอื่นนอกจาก skip linkbuck ได้อย่างหลากหลายครับ ตามการ modify script เช่น Flickr2Facebook,Google Account Multi Login, Twitter Auto Refresh เป็นต้น รวมถึงสคริปที่ใช้ข้ามหน้าตระูกูล link buck อีกเป็นกุรุสครับ

มือใหม่ ทำอันดับ SEO



Add New Content

Websites are all about content. SEO is no different. In fact, if you want a higher ranking, Google recommends that you pay more attention to web content than anything else. This makes sense because Google exists to provide users with the best search results. You may have heard that having a high keyword density is important for search engine rankings, but nothing could be further from the truth. Google ranks content. Using an excessive amount of keywords against Google’s advice will only have a negative effect on your rankings.

While having quality content is important, it’s equally important to keep it fresh. If your rankings aren’t what they should be, then updating your content every few months will cause the search engines to take another look. You can buy content or write it yourself, but it needs to be worth reading.

เพิ่มบทความใหม่
เว็บไซต์นั้นขึ้นอยู่กับเนื้อหา SEO ก็ไม่ต่างกัน ความจริงแล้วถ้าคุณต้องการที่จะเพิ่มอันดับของเว็บไซต์ Google แนะนำให้คุณเน้นความสนใจไปที่เนื้อหามากกว่าสิ่งอื่นใด เพราะ Google ต้องการแสดงผลการค้นหาที่ดีที่สุดให้กับผู้ใช้งาน คุณอาจเคยได้ยินมาว่าความหนาแน่นของ keywords ที่มากนั้นมีความสำคัญต่ออันดับของ Google นั่นอาจเป็นสิ่งที่ผิดเพราะว่าถ้าหากคุณมีความหนาแน่นของ keywords ที่มากเกินไปนั้นจะทำให้ส่งผลต่ออันดับคุณในทางลบอย่างแน่นอน

ในขณะที่บทความคุณภาพนั้นมีความสำคัญพอๆกับความสดใหม่ของบทความ ถ้าอันดับของเว็บไซ์คุณไม่เป็นไปตามที่มันควรจะเป็น คุณอาจจะอัพเดตบทความในทุกๆ 2-3เดือน หรือซื้อบทความมาก็ได้แต่บทความเหล่านั้นต้องมีคุณภาพ เพื่อที่บอทจะได้รู้ว่ายังมีความเคลื่อนไหวอยู่




Optimize Your Title Tags

Title tags are crucial to your ranking, and it pays to get them right. Creating your own title tag for each page will help to ensure that you get the maximum number of visitors to your site. For best results, include your company’s name and a couple of keywords.

เพิ่มประสิทธิภาพให้กับ Title Tags
Title Tags คือส่วนที่สำคัญสำหรับอันดับของคุณ และจะเพิ่มความมั่นใจให้กับผู้ใช้งาน โดยการสร้าง title tags ให้กับแต่ละหน้าเว็บไซต์ของคุณจะช่วยให้มั่นใจว่าคุณสามารถเรียกผู้เข้าชมได้มากที่สุด และเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุดนั้นคุณอาจจะใส่ชื่อบริษัทและ keywords ลงไปด้วยก็เป็นได้




Meta Descriptions are Still Important

While meta descriptions don’t directly affect your ranking, they do affect it indirectly. The reason for this is that a meta description provides information about your site that can cause someone to click on it or pass it by. One of the most important factors that search engines use to determine your ranking is your site’s popularity. If your listing contained the name of your company and nothing else, viewers wouldn’t know what to expect. A well-written meta description will give potential visitors an idea of the quality of your content. If they like your meta description, they’re more likely to visit your site.

Meta Descriptions ยังคงมีความสำคัญอยู่
Meta Descriptions นั้นจะไม่ได้ส่งผลต่ออันดับโดยตรง แต่จะส่งผลในทางอ้อม ด้วยเหตุที่ว่า Meta Descriptions นั้นจะแสดงข้อมูลภายในเว็บไซต์ของคุณอย่างย่อให้ผู้ค้นหาได้อ่านกัน คนจะเข้าหรือไม่เข้าเว็บไซต์คุณก็อยู่ที่ตรงนี้แหละ หนึ่งในปัจจัยสำคัญในการจัดอันดับก็คือความนิยมของเว็บไซต์คุณ ถ้าหาก Meta Descriptions ของคุณไม่มีความน่าสนใจหรืออธิบายสั้นเกินไป ผู้ค้นหาก็จะไม่รู้ว่าภายในเว็บไซต์ของคุณนั้นมีอะไรอยู่บ้าง แต่ถ้าหากคุณแจ้งข้อมูลด้วยความชัดเจนและน่าสนใจก็จะทำให้ผู้ค้นหานั้นเข้ามายังเว็บไซต์คุณได้อย่างไม่ยากเย็นเลย



Make Your URLs Count

If your site has moved or you use several URLs, then you may be getting a lower ranking than you should. URL normalization will give you a preferred URL or domain for search engines and visitors alike. Google recommends 301 redirects.

Remember that each URL should be easy to remember while containing your chosen keyword. This is important because users tend to avoid URLs that are too long or have too many symbols. Also, remember that, unlike other separators, hyphens are universally recognized. You should use them exclusively.

นับ URLs ของคุณ
ถ้าหากคุณย้ายหรือใช้หลาย URLs เว็บไซต์ของคุณอาจจะมีอันดับที่แย่ลง สิ่งที่ต้องทำคือรีบทำให้มันกลับมาเป็นปกติให้เร็วที่สุดโดย Google แนะนำให้ใช้
301 redirects (อะไรก็ไม่รู้ T T)

คุณต้องพึงระลึกไว้ว่าชื่อ URL นั้นต้องง่ายต่อการจำ และควรหลีกเลี่ยงชื่อ URL ที่ยาวมากๆและมีสัญลักษณ์จำนวนมาก และเมื่อต้องคั่นคำให้ใช้เครื่องหมายยติภังค์ (-) จะดีที่สุด



Use Internal Links

Along with site maps, internal links provide visitors with a convenient way to get around your site. They also help search engines to rank your content. When creating internal links, the following rules should be observed:
- Don’t use too many links
Search engines don’t like excessive links.

- Don’t use a static text link for each page
If not done properly, static text links can have a negative effect on your rankings.

- Use anchor text
This isn’t just for external links.ฟ
ลิ้งค์คงที่จะส่งผลในทางลบให้กับอันดับของคุณ

- ใช้ anchor text
ไม่จำเป็นต้องใช้กับ External Links เท่านั้น

- หลีกเลี่ยงการใส่ลิ้งค์ในเฟรม
เพราะการใส่ลิ้งค์ในเฟรมจะทำให้ไปขัดขวาง spider



เครดิต http://www.thaiseoboard.com
อันนี้ได้รับมาในอีเมล์และมาจากเว็บ http://www.constant-content.com 

ร่วมเป็นสมาชิก Blogseothai คุณคือตัวจริง !