Black Friday Amazon


 Amazon Black Friday

          
         ใกล้เทศกาลการ Shopping เข้ามาทุกทีนั่นคือ Black Friday และ Cyber Monday ที่ใครๆ หลายคนตั้งตารอเพื่อเตรียมตัวโกยเงินกันอย่างสนุกสนาน ผมเองก็ไม่พลาดอยู่แล้ว ซึ่งปีนี้ผมเองได้เตรียมตัวไว้เป็นอย่างดี หลังจากปีที่แล้ว “พลาด” อย่างแรงในการวางแผน ซึ่งทุกแผนผมทำงานไม่เสร็จ และไม่ได้ตามเป้าที่ตั้งไว้ แต่ยังดีที่ยังพอทำเงินกับมันได้บ้าง เรียกได้ว่าไม่น่าเกียจ แต่ไม่หรูหรา ส่วนหนึ่งของความผิดพลาดเมื่อปีที่แล้วคือ “ทำหลายอย่างเกินไป” หลายวิธีเกินไป จน “ทำไม่เต็มที่ซักทาง” สุดท้ายก็ต้องยอมจำนนเพราะว่า ต้องหันไปใช้วิธีอัดแหลก จนต้องโดนหมายหัวจนได้ รู้ทั้งรู้ว่ามันจะโดน แต่ด้วยความที่ “โลภมาก” ไปหน่อย ใช้หลากหลายวิธี จนมันตีกัน ทำให้งานไม่เสร็จ ขาดๆ เกินๆ ทุกชิ้น ปีนี้เลยจะแก้ตัวใหม่ ด้วยการวางแผนไว้อย่างดีไม่ออกนอกลู่นอกทาง ไม่จับปลาหลายมือ
จากสถิติตัวเองที่เข้าร่วมวงแบบเต็มตัวมาสองครั้ง จับทางได้เลยว่าไม่ว่า Search Engine ตัวไหนในช่วงนั้น เขาจะเล่นเกมส์กับคุณอย่างแน่นอน ทั้งกวดล้าง ปรับ Algorithm ฯลฯ สารพัดแหละครับที่คุณรจะโดนเล่นงานช่วงนั้น และสถิติที่น่าสนใจ (ส่วนตัว) คือ Cyber Monday ขายดีกว่า Black Friday เสียอีก ด้วยจำนวน Order ที่เท่าๆ กัน แต่จำนวนวันนั้น Cyber Monday แค่วันเดียวพอๆ กับ Black Friday ทั้ง 3 วัน มาดูสถิติจากเว็บไซต์นึงที่ผมทำเมื่อปีที่แล้ว ทั้ง Black Friday และ Cyber Monday
Amazon Black Friday ข้อมูลน่าสนใจของ Black Friday และ Cyber Monday
นี่คือสถิติจากเว็บไซต์อันหนึ่งของผมเป็นจำนวน Clicks, Unique Visitor จำนวน Order ทั้งหมด 3 วันคือวันศุกร์ เสาร์ และก็อาทิตย์ ซึ่งเป็นช่วงเทศกาล Black Friday
Amazon Cyber Monday ข้อมูลน่าสนใจของ Black Friday และ Cyber Monday
และนี่เป็นอีกเว็บนึงที่เป็นโดเมนเกี่ยวกับ Cyber Monday Order จากวันเดียวคือวันจันทร์ที่ 28 เว็บนี้ผมได้ 100 Order!
เรามาแยกเรื่อง Black Friday และ Cyber Monday กันก่อนครับ เริ่มด้วยเทศกาล Black Friday ซึ่งเป็นเทศกาลที่ ห้าง ร้านค้า ร้านรวง ต่างๆ พากันลดกระหน่ำ กันมากกว่า 50% สินค้าทุกชนิดลดราคากันเป็นว่าเล่น ในร้าน “ค้าปลีก” ต่างๆ ถ้าบ้านเราก็จะเป็นพวก เซนทรัล, บิ๊กซี, โลตัส นี่แหละครับ คือพวกร้านค้าจริงๆ ที่เราจะเดินเข้าไปซื้อได้ ซึ่ง Black Friday ร้านเหล่านี้จะเต็มไปด้วยเหล่านักช็อปที่มาตั้งเต้นท์รอกันแต่เช้าเพื่อแย่งกันซื้อของ ซึ่งจริงๆ แล้วมันเป็นช่วงลดกระหน่ำของร้านค้าปลีก Offline ต่างๆ แต่ปัจจุบัน ร้านค้าปลีก Online ก็ลงมาเล่นกับเขา ด้วยแต่ที่ยังน่าสงสัยคือ ในความรู้สึกของคนมะกันจริงๆ เขายังหลงไหลในการช้อปปิ้งแบบร้านค้า Offline อยู่หรือเปล่า เพราะที่มันเป็นวันศุกร์ เสาร์ ทิตย์ เพื่อว่าคนทำงานจะได้มีเวลาช่วงสุดสัปดาห์ ได้ช้อปปิ้งกับครอบครัว คนรัก เพื่อนๆ ได้อย่างสะดวก
gap oldnavy cyber monday 300x189 ข้อมูลน่าสนใจของ Black Friday และ Cyber Mondayส่วน Cyber Monday จะเป็นช่วงวันจันทร์ต่อจากวัน Black Friday ซี่ง Cyber Monday คือการที่ร้านค้า E-Commerce ต่างๆ เช่น Amazon, Best Buy, Tiger Direct ฯลฯ ร่วมใจกันลดกระหน่ำอีกเช่นกัน เพื่อเอาใจคนรักการช้อปปิ้งแบบออนไลน์ ได้จับจ่ายซื้อหาของที่ตัวเองอยากได้ และรวมทั้งคนที่พลาด, คนที่ขี้เกียจไปเบียดแย่งการหาซื้อสินค้าจากร้าน Offline สามารถหาซื้อได้จากร้านค้า Online ที่ทั้งส่งฟรี, ซื้อง่าย ไม่ต้องออกไปยืนรอต่อแถวให้เมื่อยตัว
ซึ่งดูแล้วการ Cyber Monday ดูเหมือนจะเหมาะกับพวกเราเหล่า Affiliate Marketer มากกว่า Black Friday เสียอีก ซึ่งช่องว่างของคีย์ Cyber Monday สองปีที่ผ่านมา ยังมีคนทำน้อย ถึงน้อยมาก เพราะทุกคนแย่งกันไปทำคีย์ Black Friday กันเสียหมด และสถิติทั้งสองปีที่ผ่านมา มันฟ้องว่า Cyber Monday สำหรับผมขายดีกว่า Black Friday ทั้งสามวันเสียอีก นั่นอาจเป็นเพราะ จริงๆ แล้วถึงแม้ร้านค้าออนไลน์ต่างๆ จะจัดเทศกาล Black Friday เหมือนกันแต่ผู้บริโภค ก็ยังติดกับการช้อปปิ้งแบบแย่งกันซื้อ ยืนต่อแถวกันยาวๆ และอาจมีความเป็นไปได้ที่ผู้คนเหล่านั้นยังไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วร้านค้าออนไลน์ก็ลดกระหน่ำเหมือนกัน ในฐานะเราเป็น Affiliate Marketer เรารู้เพราะมันเป็นงานที่เราต้องทำ แต่อย่าเหมารวมว่าเหล่าผู้บริโภคเหล่านั้นจะต้องรู้เหมือนเรา เค้าอาจไม่รู้ก็เป็นได้ แต่ที่เค้ารู้แน่ๆ คือ Cyber Monday คือการช้อปปิ้งออนไลน์ ร้านค้าอย่าง Amazon, Best Buy, Tiger Direct ฯลฯ จะต้องลดราคา
บางทีเราอาจโฟกัสผิดจุด (คห. ส่วนตัวนะครับ) ซึ่งบางท่านอาจขายได้ดีในช่วง Black Friday ก็ได้ แต่ส่วนตัวผม จากรูปข้างบนก็แสดงให้เห็นแล้วว่า Cyber Monday วันเดียวขายได้พอๆ กับ Black Friday 3 วันเลยทีเดียว ผมมีข้อมูลในปีที่แล้วมาให้ดูเล็กน้อย จาก ComScore ดังนี้
ComScore ได้รายงานว่าในช่วง Holiday Shopping Season ในร้านค้าปลีกออนไลน์ (E-Commerce) ต่างๆ ในปี 2011 มีการใช้่จ่ายในการซื้อของออนไลน์เพิ่มขึ้น 15% จากปี 2010 และ Cyber Monday วันเดียวมียอดการใช้จ่ายสูงที่สุดถึง $1,251 ล้านเหรียญ ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปี 2010 ถึง 22% ซึ่งผลสำรวจจาก ComScore การช้อปปิ้งออนไลน์ของเทศกาลต่างๆ ในปี 2010 และปี 2011
  • November 1 – December 2 : ปี 2010 ยอดการใช้จ่ายอยู่ที่ $16,257 ล้านเหรียญ และในปี 2011 ยอดการใช้จ่ายอยู่ที่ $18,697 ล้านเหรียญ เพิ่มขึ้น 15%
  • Thanksgiving Day (Nov. 24) : ปี 2010 ยอดการใช้จ่ายอยู่ที่ $407 ล้านเหรียญ และในปี 2011 ยอดการใช้จ่ายอยู่ที่ $479 ล้านเหรียญ เพิ่มขึ้น 18%
  • Black Friday (Nov. 25) : ปี 2010 ยอดการใช้จ่ายอยู่ที่ $648 ล้านเหรียญ และในปี 2011 ยอดการใช้จ่ายอยู่ที่ $816 ล้านเหรียญ เพิ่มขึ้น 26%
  • Thanksgiving Weekend (Nov. 26-27) : ปี 2010 ยอดการใช้จ่ายอยู่ที่ $886 ล้านเหรียญ และในปี 2011 ยอดการใช้จ่ายอยู่ที่ $1,031 ล้านเหรียญ เพิ่มขึ้น 16%
  • Cyber Monday (Nov. 28) : ปี 2010 ยอดการใช้จ่ายอยู่ที่ $1,028 ล้านเหรียญ และในปี 2011 ยอดการใช้จ่ายอยู่ที่ $1,251 ล้านเหรียญ เพิ่มขึ้น 22%
  • Week Ending Dec. 2 : ปี 2010 ยอดการใช้จ่ายอยู่ที่ $5,164 ล้านเหรียญ และในปี 2011 ยอดการใช้จ่ายอยู่ที่ $5,959 ล้านเหรียญ เพิ่มขึ้น 15%
จะเห็นได้ว่าถึงแม้ยอดการใช้จ่ายของ Black Friday จะมี % เพิ่มมากขึ้น 26% แต่ Cyber Monday ยังมียอดจำนวนเงินที่มากกว่าอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งนั่นก็แสดงว่าการช้อปปิ้งออนไลน์ Cyber Monday ก็ยังน่าสนใจกว่า Black Friday อยู่พอสมควร แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่สนใจ Black Friday นะครับ แต่ผมกำลังจะบอกว่า Cyber Monday ที่ไม่ค่อยมีใครพูดถึงนัก มันน่าลงไปเล่นและลงทุนมากกว่า Black Friday หรือไม่ ซึ่งคุณเป็นคนตัดสินใจเอง ส่วนตัวผมก็เล่นทั้งสองนั้นแหละ ฮ่ะๆๆ แต่จะลงทุนเม็ดเงินกับ Cyber Monday มากกว่าแค่นั้นเองครับ
แต่จาก list ข้างบนมีอะไรน่าสนใจอยู่อีกหนึ่งอย่างคือ Week Ending Dec 2 ซึ่งการใช้จ่ายในโลกออนไลน์อยู่ในระดับ $5,164 ล้านเหรียญ คือหลังจากช่วง Cyber Monday ไปแล้วก็ยังมีการซื้อขายกันอย่างหนักหน่วงอยู่ ซึ่งมันมีเทศกาลอะไรบ้างหละ ซึ่ง 10 อันดับวันช้อปปิ้งออนไลน์จาก ComScore มีดังนี้
  1. Cyber Monday : $1,251 ล้านเหรียญ
  2. Monday, Dec. 5 : $1,178 ล้านเหรียญ
  3. Monday, Dec. 12 (Green Monday) : $1,133 ล้านเหรียญ
  4. Tuesday, Nov. 29 : $1,116 ล้านเหรียญ
  5. Tuesday, Dec. 6 : $1,107 ล้านเหรียญ
  6. Friday, Dec. 16 (Free Shipping Day) : $1,072 ล้านเหรียญ
  7. Tuesday, Dec. 13 : $1,064 ล้านเหรียญ
  8. Wednesday, Nov. 30 : $1,025 ล้านเหรียญ
  9. Thursday, Dec. 8 : $1,024 ล้านเหรียญ
  10. Thursday, Dec. 15 :  $1,018 ล้านเหรียญ
green monday ข้อมูลน่าสนใจของ Black Friday และ Cyber Monday
ซึ่งจะเห็นได้ชัดว่าอันดับ 2-10 เป็นช่วงหลังจาก Cyber Monday ทั้งนั้นเลยครับ ^^ และที่สำคัญวันต่างๆ เหล่านี้ทุกอัน มียอดใช้จ่ายมากกว่า Black Friday เสียอีก น่าคิดไหมครับ ว่าจริงๆ แล้ว Black Friday มันเป็นเทศกาลช้อปปิ้งตามร้านค้า Offline ต่างๆ มากกว่าหรือไม่? และอีกอย่างคุณเคยคุ้นกับคำว่า Green Monday และ Free Shipping Day หรือไม่? คุณต้องทำการบ้านให้หนัก อย่าเฮโลตามกันไป เค้าทำอะไรก็ตามก้นกันไป ให้ค้นหาข้อมูลจากหลายๆ แห่งรวมกันให้มาก ซึ่งประสบการณ์สองครั้งที่ผ่านมา ผมบอกได้เลยว่า Black Friday ทำเงินน้อยกว่า Cyber Monday มากนัก (ในสถิติของผม) เพราะฉะนั้น คุณควรหาข้อมูลให้แน่น และตัดสินใจให้ดี ว่าควรจะลงทุนกับคีย์ไหน Black Friday, Cyber Monday, Green Monday, Free Shipping Day
ข้อมูลสำคัญเพิ่มเติมเกี่ยวกับการซื้อของออนไลน์ในช่วง Holiday Season ที่ ComScore ได้ไป Survey มาจากคนใน US ด้วยคำถามที่ว่า “เมื่อคุณตัดสินใจจะซื้อของออนไลน์ในช่วง Holiday Season การส่งของแบบฟรี (Free Shipping) มันสำคัญในการตัดสินใจซื้อของ ของคุณหรือไม่?” ผลการ Survey ออกมาดังนี้
  • 36% ตอบว่า สินค้าที่ Free Shipping สำคัญมาก ถ้าสินค้าไหนไม่ Free Shipping พวกฉันจะตัดสินใจไม่ซื้อมัน
  • 42% ตอบว่า สินค้าที่ Free Shipping ค่อนข้างสำคัญ และฉันจะหาสินค้าที่มัน Free Shipping มากกว่าไม่ Free Shipping
  • 12% ตอบว่า มีก็ได้ไม่มีก็ได้ แต่ฉันจะหามันก่อน แต่ก็ไม่สำคัญเท่าไหร่
  • 1% ตอบว่า ไม่สำคัญ จะ Free Shipping หรือไม่ไม่มีผลในการตัดสินใจซื้อสินค้าของฉัน
  • 2% ตอบว่า ไม่สำคัญเลย ฉันไม่คำนึงถึงเรื่อง Free Shipping หรือไม่ฉันซื้อเพราะอยากซื้อ
  • 6% ตอบว่า ไม่รู้เหมือนกันไม่แน่ใจ – -”
จากผลสำรวจ สินค้าที่ Free Shipping ใน Online Store ค่อนข้างมีผลในการตัดสินใจซื้อสินค้าเป็นอย่างมาก (แต่ส่วนมาก Online Stores จะ Free Shipping อยู่แล้ว) เพราะฉะนั้นเลือกสินค้าที่ Free Shipping ไว้จะได้เปรียบกว่า และน่าแปลกใจคือ 6% ไม่รู้ไม่แน่ใจ เวรกรรมจริงๆ ฮ่ะๆ

ส่วนวันต่างๆ ในปีนี้ได้มีดังนี้

  • Thanksgiving คือวันพฤหัสบดีที่ 22 พฤศจิกายน 2012
  • Black Friday คือวันศุกร์ที่ 23 พฤศจิกายน 2012
  • Cyber Monday คือวันจันทร์ที่ 26 พฤศจิกายน 2012
  • Green Monday คือวันวันทร์ที่ 2 ของเดือนธันวาคม
ฝากไว้แค่นี้นะครับ สำหรับข้อมูลที่ผมหามาให้ ส่วนการตัดสินใจอยู่ที่คุณ ว่าคุณจะลงทุนกับคีย์ไหนมากกว่ากัน บางคนบอกก็ทำมันทั้งสองคีย์เลย ก็ไม่ผิดถ้าคุณทำได้ โดยที่คุณไม่ยุ่งเกินไป และลงทุนเยอะเกินไป แต่ใครทุนน้อยก็เลือกซักทางนึง จะเป็น Black Friday, Cyber Monday, Green Monday, Free Shipping Day หรือแม้แต่ Christmas  ตัดสินใจให้ดี ขอให้ร่ำรวยในช่วงปลายปีนะครับ ^^


Read more: http://www.ksrrider.com/holiday-shopping-season-data/#ixzz2AHCxIUpf

การหา keywords



คีย์เวิร์ด (keywords) ถือว่าเป็นกุญแจสำคัญในการที่จะบอกว่า เราจะรุ่ง หรือจะร่วง กับการทำ Internet marketing ไม่ว่าจะทำ AdSense , Affiliate, Amazon หรือแนวอื่น ๆ ที่ขึ้นตรงต่อ Search Engine ฉนั้นควรเลือก Keywords ให้เหมาะสม ก่อนลงสนามแข่งขัน

ในทางปฏิบัติมีวิธีการมากมายที่จะได้มาซึ่ง Keywords ที่ดี ไม่ว่าจะเป็นบริการหา Keywords จากผู้ให้บริการต่าง ๆ ทั้งเสียเงิน และฟรี หรือซอฟแวร์ช่วยหา Keywords ที่มีทั้งฟรีและเสียเงินเช่นกัน แต่คงไม่มีใครปฏิเสธว่า ถ้าหา Keywords ดี ๆ ได้และฟรีด้วยจะดีที่สุด (Keywords ดี ๆ จะเรียกกันว่า Niche Keywords ออกเสียง "นิช คีเวิด" ซึ่งหมายถึง Keywords ที่ยังมีช่องทางในการทำเงินได้ดี)

"ของฟรีดี ๆ ไม่มีในโลก" อันนี้ก็ไม่จริงซะทีเดียว ของฟรีดี ๆ ก็มีให้เห็นกันมาก แต่คนมักจะไม่ค่อยเห็นค่าของฟรีมากนัก เนื่องจากมันฟรี แต่ถ้าลองได้เสียเงินแล้ว จะใช้ให้คุ้มค่าทุกบาททุกสตางค์ทีเดียว

Q : แล้วจะใช้เครื่องมือตัวไหนถึงจะหา Keywords ดี ๆ ได้หล่ะ จะรู้ได้อย่างไรว่า Keywords ไหนเป็น Keywords ทองคำ
A : ไม่มีหรอกเครื่องมือที่จะหา Keywords ทองคำได้ แต่อาจจะช่วยนำทางไปหา Keywords ดี ๆ ได้ คำตอบที่ดีที่สุดคือ "ทดลอง" ถึงจะเห็น Keywords ทองคำจริง ๆ (แต่ก็ไม่ทองคำตลอดไป)

"อ่านมายาวแล้วนะ เมื่อไหร่จะบอกวิธีหา หรือจะใช้เครื่องมืออะไรก็ว่ามา"

หลายคนคงใจร้อนอยากรู้แล้วว่าเทคนิคการหา Keywords แบบอ้างอิง Goo (เกิ้ล) เป็นแบบไหน งั้นก็เข้าเรื่องกันเลย

แนวคิดมีอยู่ว่า Google คือผู้กุมความลับเกือบทั้งหมดของการค้นหา แน่นอนว่าข้อมูลที่ได้จาก Google น่าจะเชื่อถือได้มากกว่า 80% (ไม่ทุกกรณี บ้างครั้ง Google ก็โกหกเราแบบ 100%) โดยเราจะอาศัยเครื่องมือในการหา Keywords จาก Google ที่ทุกคนน่าจะรู้จักกันอยู่แล้ว นั้นคือ Keyword Tool ของ Google (https://adwords.google.com/select/KeywordToolExternal) แต่มีเทคนิคเพิ่มเติมที่จะทำให้เราได้ Keywords ที่ค่อนข้างดี ด้วยการนำ Keywords ที่ได้ มาวิเคาะห์เพิ่มเติม พอจะสรุปง่าย ๆ ได้ดังนี้

1. หา Keywords และปริมาณการค้นหา จาก https://adwords.google.com/select/KeywordToolExternal
2. หา Keywords ที่ราคาดี ๆ จาก https://adwords.google.com/select/TrafficEstimatorSandbox
3. หาคู่แข่งจาก Search Result (Google, Yahoo, MSN)
4. นำข้อมูลทั้ง 3 ข้อมาวิเคราะห์ (อันนี้ต้องใช้ common sense)
5. ทดลอง Keywords ที่หาได้ (ถ้าโชคดีก็จะเจอ Niche Keywords) ถ้าไม่ได้ก็กลับไปทำซ้ำตั้งแต่ข้อ 1.

เห็นไหมครับว่าขั้นตอนก็เดิม ๆ ไม่มีอะไรแปลกไหม่เท่าไหร่ แต่ถ้าใครได้ลองตามขั้นตอนนี้แล้วจะเห็นว่าต้องใช้เวลามากพอสมควร จึงจะได้ Keywords ออกมาแต่ละชุด ถ้าใช้เวลาและแรงงานเยอะอย่างนั้นคงไม่เรียกว่าเทคนิคแน่นอน

ลองมาดูเทคนิคเพิ่มเติมที่จะทำให้ได้ Keywords ดี ๆ ได้ในเวลาไม่มากนัก โดยไปตามขั้นตอนเหมือนเดิม
1. หา Keywords จาก https://adwords.google.com/select/KeywordToolExternal โดยตัวอย่างจะลองหา Keywords ที่เกี่ยวข้องกับ acne (สิว)

เสร็จแล้วก็คลิกที่ .csv (for excel) เพื่อดาวน์โหลดไฟล์ Keywords 150 คำแรกมาเปิดโดย excel

ทำการเรียงลำดับจำนวนการค้นหาของแต่ละ Keywords จากมากไปหาน้อย




จากนั้นเลือก Keywords ตามจำนวนที่ต้องการ ตัวอย่างเลือกแค่ 20 คำ เพื่อที่จะไปขั้นตอนหา Keywords ที่ราคาดี ๆ เราไม่จำเป็นต้องเอาคำที่มีการค้นหามากสุดก็ได้ เลือกเอาในช่วงที่มีการค้นหาพอสมควร เช่นสัก 5000 - 100000 เพื่อที่จะได้ลดจำนวนคู่แข่งไปได้ เนื่องจาก Keywords ที่มีการค้นหาสูง คู่แข่งย่อมจะเยอะ เมื่อได้จำนวนตามต้องการแล้ว ก็ลบคำที่เราไม่ต้องการออก พร้อมทั้งเรียงรายชื่อใหม่ ตามตัวอักษรของ Keywords
จากนั้นก็ลบคำที่เราไม่ต้องการออก




2. ไปที่ https://adwords.google.com/select/TrafficEstimatorSandbox แล้วใส่ Keywords ทั้ง 20 คำ


เสร็จแล้วก็ทำการดาวน์โหลดมาเปิดด้วย excel


ทำการคัดลอกค่า Estimated Avg. CPC และ Estimated Click/Day ไปใส่ในไฟล์ excel ในข้อ 1.




3. หาคู่แข่งจาก Search Result (Google, Yahoo, MSN) ตรงนี้อาจจะเป็นปัญหาสำหรับหลายคน ว่าจะต้องหาทีละคำ ทีละ Search Engine โอ้โห้.... กว่าจะครบนี่เหงื่อตกกันพอดี บางคนอาจจะมีตัวช่วยให้ง่ายขึ้นด้วยเครื่องมือต่าง ๆ



4. วิเคราะห์ข้อมูลที่มีทั้งหมด เพื่อหา Keywords ที่น่าสนใจ โดยอาจจะทำการเรียงลำดับดังนี้
1 จำนวนคู่แข่งใน Google (เพราะเราสนใจ Google) หรือเลือกได้ว่าจะเอาคู่แข่งไหนเป็นหลัก อาจจะเอาค่ารวมก็ได้
2 จำนวนการค้นหา
3. ค่าของ Keyword แต่ละคำ หรือจำนวนการคลิกของแต่ละ Keyword

จากตัวอย่างเราก็จะได้ Keywords ที่น่าสนใจดังนี้



acne care
acne products
acne remedy

หรือขยายความสนใจให้กว้างขึ้น


acne remedy
cystic acne
clear acne
acne laser
acne product
cure acne
acne natural
acne products
acne control
rid acne
acne care

เราสามารถที่จะเอา Keywords เหล่านี้ไปหาต่อได้ โดยทำซ้ำตามขั้นตอนทั้งหมด

5. ขั้นตอนสุดท้ายคือการนำ Keywords ที่ได้ไปทดลอง โดยอาจจะไปลองกับเว็บปั่นดูว่า Keywords ไหนจะทำเงินได้ดีจริง ๆ ขั้นตอนนี้ก็ต้องอาศัยเทคนิคหลายอย่างเข้าช่วย คงต้องใช้เวลาสักพัก แต่ก็ต้องทำเพราะคงไม่มีใครมาบอกว่า Keywords ไหนทำเงินให้เขาจริง ๆ (จะบอกให้โง่ทำไม กว่าจะหาได้แทบรากเลือด)

เหนื่อยแล้ว... ใช้เวลาเขียนบทความนี้อยู่หลายชั่วโมงเลย บทความนี้ไม่ได้ถูกต้องทุกอย่าง เป็นเทคนิคที่อ้างอิง Goo (และGoogle) โดยต้องยอมรับเงื่อนไขว่าข้อมูลที่ได้จาก Google เชื่อถือได้ (ผมก็ค่อนข้างเชื่อข้อมูลการค้นหาจาก Google เพราะทดลองกับ Keywords แล้วปริมาณการค้นหาก็ใกล้เคียงกับที่ Google บอก

ร่วมเป็นสมาชิก Blogseothai คุณคือตัวจริง !